วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

สิ้นสุดที่ไหน?


เรื่องนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน?”
            คำถามทำนองนี้ผุดเกิดขึ้นเสมอ ในความทุกข์ที่เกินทน ในการรอคอยที่ยาวนาน ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แม้แต่ในความฉ้อฉลหลอกลวงที่ไม่สิ้นสุด
            ในผลงานเลื่องชื่อของ ดร.ภวานี ภัฏฏาจารย์ เรื่อง คนขี่เสือจันทรเลขาตั้งคำถามนี้กับกาโลผู้เป็นพ่อ ในวันที่ชีวิตของทั้งสองพลิกผ่านจากความยากเข็ญไปสู่ความมั่งคั่งและได้รับการเคารพนบนอบ คำถามของเธอไม่ได้มาจากความกริ่งเกรงว่าวันเวลาที่ยิ่งกว่าฝันจะมอดมลายไป แต่เพราะ ในอกของลูกหนักอึ้งอยู่ด้วยความเท็จ
กาโลที่แท้เป็นคนดีงาม เขาเป็นช่างเหล็กฝีมือดีที่สุดแห่งเมืองฌรนา แคว้นเบงกอล ภรรยาของเขาเสียชีวิตหลังจากคลอดจันทรเลขาผู้ซึ่งกลายมาเป็นเหตุผลเพียงอย่างเดียวในการมีชีวิตอยู่ของเขา เขาไม่แต่งงานใหม่เพราะไม่วางใจว่าจะมีแม่เลี้ยงคนไหนดูแลลูกสาวเขาดีพอ
            แม้กาโลจะเป็นคนชั้นกมารซึ่งอยู่ในวรรณะศูทร และไม่เคยเห่อเหิมที่จะก้าวข้ามเส้นแบ่งวรรณะ แต่เขาก็ดิ้นรนส่งเธอเข้าเรียนที่โรงเรียนคอนแวนต์ เพื่อให้เธอมีการศึกษาอย่างดีที่สุด และผลการเรียนของเลขาก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง แต่ชะตาสองพ่อลูกถูกพลิกผันภายใต้สงครามใหญ่และความอดอยากยากจนที่แผ่คลุมทั่วเบงกอล เงินที่กาโลเก็บออมไว้ชั่วชีวิตทั้งด้อยค่าลงทุกทีและร่อยหรอลงทุกวันเมื่อ ลูกค้าไม่มีทั้งของที่จะซ่อมและเงินที่จะจ่ายค่าซ่อม เช่นเดียวกับคนทั่วแคว้น กาโลแอบเกาะขบวนรถไฟไปแสวงโชคในมหานครกัลกัตตา แต่ปลายทางของเขากลับอยู่ที่เรือนจำ
            กาโลถูกจับขณะขโมยกล้วยหอมสามใบของผู้โดยสารในตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เจ้าหน้าที่บอกว่าความผิดลหุโทษนี้อาจถูกจำคุกสิบห้าวันหรือหนึ่งเดือน แต่ด้วยความศรัทธาเชื่อถือในตัวบทกฎหมายว่าเป็นเครื่องมือรับใช้ความยุติธรรมแม้แต่คนยากจน กาโลเชื่อว่าหลังคำสารภาพ ศาลจะเข้าใจในความหิวและความจำเป็นที่เขาต้องมีชีวิตอยู่ แต่คำถามของผู้พิพากษาที่เขาจะจดจำไปชั่วชีวิตก็คือทำไมแกถึงจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยเล่า
            ตามคำบรรยายของภวานี ภัฏฏจารย์ กระบวนการที่เริ่มต้นขึ้นในศาลสถิตยุติธรรม แล้วรวมตัวขึ้นเป็นพลังภายในเรือนจำ จึงคงดำเนินต่อไป... กาโลไม่เพียงแต่ปฏิเสธเท่านั้น หากยังกำจัดคุณค่าต่างๆ ที่เขาได้มาโดยกำเนิดออกไปเสียด้วย เขาจำเป็นต้องตัดรากแก้วทางสังคมและสละมรดกตกทอดที่ตนได้สืบต่อไว้ออกไปจนหมดสามเดือนในคุกทำให้เขาไม่มีวันเป็นกาโลคนเดิมอีกต่อไป และนั่นคือวิถีเดียวกับที่คนจำนวนมากได้ขบถต่อสังคม
            นักโทษหมายเลขบี-10 ทำลายภาพลวงตาของมหานครในความนึกคิดของกาโลลงไป ที่นั่นไม่มีงานให้ทำ มีแต่คนอดอยากจำนวนมหาศาลที่ทบทยอยกันตายไปทุกๆ วัน ดังที่กาโลได้ประจักษ์ด้วยตัวเองเมื่อเขาเดินทางไปถึง เมื่อชีวิตเหลือทางเลือกเพียงอดตายกับงานที่เขารังเกียจในซ่องโสเภณี กาโล ก็เลือกที่จะมีชีวิตอยู่
            บทเรียนแรกที่กาโลได้เรียนรู้จากชีวิตใหม่ก็คือ คำแนะนำของเจ้านายว่าหาหมวกคานธีมาใส่หัวเสีย จะทำให้แกดูน่านับถือขึ้นกว่าเดิมเมื่อรวมกับรายได้ที่มากกว่าเคยนึกฝัน เขาก็ไม่ใช่ เศษเดนของแผ่นดินที่ถูกเหยียดหยามอีกต่อไป แม้แต่ตำรวจผู้บันดาลโทสะได้ทันทีที่เห็นผู้คนในร่างโครงกระดูกเดินได้ ก็ยังผูกมิตรกับเขา ทักทายว่า การค้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ทั้งที่การค้าและรายได้ของเขามาจากความอัปยศและน้ำตาของเด็กสาวที่ถูกล่อลวง/บังคับมา ซึ่งกาโลยังคงเห็นว่าชั่วช้ายิ่งกว่าสิ่งที่ทำให้เขาถูกตราหน้าและลงโทษมาก่อน
            ถ้อยคำของบี-10 เมื่อครั้งอยู่ในคุก กลับมาดังก้องในใจกาโลอีกครั้งเมื่อจันทรเลขากลายเป็นหนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เจ้าพวกที่เป็นนายเหยียดหยามเราก็เพราะมันกลัวเรา พวกมันทำร้ายเราตรงที่ที่เราเจ็บอย่างร้ายกาจ คือตรงท้องของเรา เราจะต้องจ้วงกลับ
วิธี จ้วงกลับของผู้คนต่อสังคม ต่อการเหยีดหยามทำร้าย มีรูปวิธีที่หลากหลาย จากการแก้แค้นโดยเจาะจง อาชญากรรมที่ไม่เลือกเป้าหมาย การไต่บันไดสังคม ไปจนถึงการต่อสู้ทางชนชั้น และการยึดกุมอำนาจ
            คนอย่างบี-10 เลือกเอาการกระชากสายด้ายศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชั้นพราหมณ์ทิ้งไป และต่อสู้เรียกร้องให้กับผู้คนที่อดอยากแห่งวรรณะที่ต่ำต้อยอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แม้เขาจะมีโอกาสกลับสู่วรรณะเดิมและชีวิตที่สุขสบายกว่าได้เสมอ ส่วนกาโลยกตัวเองขึ้นเป็นพราหมณ์ผู้ได้รับความเคารพจากชนทุกชั้น
            มนตร์อุบายที่เกิดจากอารมณ์ขันอันขมขื่นของบี-10 คือวิธีการที่กาโลได้กลายเป็นมงคล อธิการี เป็นการ เกิดใหม่พร้อมกับสายด้ายอันศักดิ์สิทธิ์แห่งวรรณะอันสูง และปาฏิหาริย์แห่งการเสด็จของพระศิวะซึ่งไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหินก้อนที่ผ่านการสลัก ทำให้กลวงเพื่อมีน้ำหนักเบาลง เผาไฟให้ดูเก่าคร่ำ และผุดขึ้นจากแรงดันของถั่วในกระป๋องใต้ดินที่งอกขึ้นภายหลังการทดลองกะระยะ ปริมาณ และรดน้ำ จนแน่ใจ
            เงินทองจากศรัทธาของคนทุกชั้นวรรณะหลั่งไหลมา เทวาลัยเริ่มก่อตัวเป็นอาคารงดงามสมบูรณ์ ความเคียดแค้นของกาโลได้รับการชำระด้วยลาภสักการะ แต่ก็เช่นเดียวกับที่ลูกสาวตั้งคำถาม เรื่องนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน?” เขาเริ่มจากความลวง ตามมาด้วยการบีบบังคับเอาที่ดินจากเจ้าของเดิมมาใช้ก่อสร้างเทวาลัยในนามของพระศิวะ เขาได้สาสมใจในวันที่ผู้พิพากษาคนที่เคยถามถึงความจำเป็นที่คนอย่างเขาต้องมีชีวิตอยู่ บัดนี้กลับต้องก้มลงสัมผัสเท้าเขาอย่างนอบน้อม เขารักเงินของเทวาลัยมากกว่าสมัยที่เขาได้มาจากการทำงานหนัก และเมื่อมีชายชราวรรณะต่ำผู้อดอยากมาวิงวอนขออาหาร ปฏิกิริยาแรกของเขาคือถอยหลบจากมือที่ยื่นมา ตามด้วยถ้อยคำเดือดดาลแกกล้าดีอย่างไรถึงได้มาแตะต้องเนื้อตัวข้า
            ความดีงามของกาโลช่างตีเหล็กไม่ถึงกับสิ้นสูญ ยังคงปรากฏขึ้นขัดแย้งกับท่านอธิการิน ทำให้บางครั้งมงคล อธิการีรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องรับเงินจากศรัทธาของคนจนที่แทบไม่มีกิน และทำให้เขายอมให้คนสวนนำเอาน้ำนมสรงพระศิวะไปเลี้ยงทารกที่กำลังจะอดตาย แต่ถึงที่สุดแล้วความเป็นพราหมณ์ได้เกาะกุมเขาไว้มั่นเกินกว่าจะฉุดดึงกลับมา เมื่อรักแท้ระหว่างลูกสาวกับเพื่อนต่างวัยผู้ประกาศตนเป็น วรรณะนักโทษยากจะขวางกั้น เงื่อนไขข้อสำคัญของกาโลคือ บี-10 ต้องแสดงตนเป็นวรรณะพราหมณ์    
            ตามคำเปรียบเปรยของผู้เขียนกาโลได้ขึ้นควบขับความเท็จไปเหมือนกับว่ามันคือเสือซึ่งเขาไม่สามารถจะลงมาจากหลังของมันได้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเสือก็จะตะครุบตัวเขากินเสีย
            ยิ่งกาโลควบขับไป จันทรเลขาซึ่งเขาเข้าใจว่านั่งร่วมบนเสือตัวเดียวกัน ก็ยิ่งอยู่ห่างออกไปทุกที จันทรเลขาเข้าใจว่าพ่อจะต้องคอยระวังตัวไม่เผยแสดงตัวตน เธอเห็นด้วยกับแรงกระตุ้นแห่งการขบถ แต่เธอก็สงสัยเสมอว่าทำไมพ่อจึงไม่มีแม้ความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ สายใยความรัก ความเชื่อถือศรัทธาในความดีงามของพ่อที่เคยแน่นแฟ้นตลอดมาคลายเกลียวลงทุกขณะกับคำถามในใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่า มันเป็นหนทางที่ถูกต้องแล้วหรือและเมื่อเธอมองดูพราหมณ์คนอื่นที่เธอพบอยู่ทุกวันซึ่งล้วนแล้วแต่มีมารยาทดี และนอบน้อมถ่อมตัว เธอก็สงสัยว่าเงินเหรียญปลอมจำเป็นจะต้องส่งประกายฉายแสงให้สดใสยิ่งกว่าเงินเหรียญแท้ หรืออย่างไร
เงินเหรียญปลอมที่ฉายแสงสดใสยิ่งกว่าเหรียญเงินแท้สามารถตบตาคนได้เสมอมา แต่เหรียญเงินแท้ที่งำประกายเช่นบี-10 มีอยู่ไม่มาก บี-10 ปฏิเสธการเป็นหุ้นส่วนในรายได้ของเทวาลัย ปฏิเสธเงื่อนไขความรักที่กาโลกำหนด เช่นเดียวกับที่เขาเคยหันหลังให้วรรณะเดิมของตัวเองมาก่อน เขาเป็นคนจุดไฟแห่งการ จ้วงกลับให้กาโล แต่วันหนึ่งเขาก็ต้องถามเพื่อนเก่าผู้รุ่งโรจน์ว่า หรือมันเป็นไปได้ว่า ในการทุจริตหลอกลวงนั้น นายไม่มีความประสงค์อื่นใดยิ่งไปกว่าจะทำให้ท้องกับกระเป๋าเงินของนายเต็มขึ้นมา
            ในขบวนของคนที่ต่อสู้ตามเสียงเพรียกแห่งความยุติธรรม มีคนที่เริ่มต้นอย่างบี-10 อยู่มากมายทุกหนแห่ง แต่สุดท้าย จะมีกี่คนที่ภายใต้เสื้อคลุมตัวเดิมจะไม่เหลืออยู่เพียงความเมามัวและกระหาย อำนาจ ดังที่จันทรเลขาพูดกับพ่อ (และนับรวมพ่อของเธอเข้าไว้ด้วย)คนรักชาติโจมตีผู้ปกครองของประชาชนที่เลว แต่ครั้นเมื่อตัวเองมีอำนาจขึ้น ก็กลายมาเป็นผู้ปกครองแบบที่ตัวเคยโจมตี
            เช่นเดียวกัน คนอย่างกาโลที่ควบขี่หลังเสือแห่งความฉ้อฉลหลอกลวง ก็ปรากฏอยู่ทุกสมัย และไม่มีกี่คนที่กล้าจ้วงแทงเสือตัวนั้นด้วยมือของตัวเอง อย่างที่กาโลเริ่มลงมีดแรกกับประโยคที่ว่าข้าพเจ้าผู้สร้างเทวาลัยนี้ไม่ได้เกิดมาในวรรณะพราหมณ์
            ด้วยคำถามเดียวกับจันทรเลขา แต่ภายใต้แรงทับถมของความเท็จและการฉ้อฉลอันยาวนานของยุคสมัย ว่าเรื่องนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน?” เราทำได้เพียงคาดหวังให้ผู้ที่ควบขี่อยู่บนเสือร้ายเป็นกาโลอีกคนหนึ่ง หรือรอให้เขาก้าวลงมาจากหลังเสือเสียเอง
            หรือทำอะไรได้มากกว่านั้น?
#
Rhymes to learn
  • คนขี่เสือของ ดร.ภวานี ภัฏฏาจารย์ เป็นวรรณกรรมแนวสัจจนิยมที่ได้รับการยกย่องว่าถ่ายทอดชีวิตผู้คนและสภาพ สังคมอินเดียได้อย่างหมดจด สำนวนแปลที่นำมาใช้ในที่นี้ เป็นของ ทวีป วรดิลก จากฉบับพิมพ์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2517 ส่วนสำนวนของ จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งเป็นคนแรกที่แปลไว้ เพิ่งค้นพบในภายหลัง

#
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร IMAGE ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549)

5 ความคิดเห็น:

  1. อ่านหนังสือเยอะจังเลยค่ะ
    ได้ความรู้หลายอย่างมากๆเลย
    ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับ
    ดีใจที่บทความเก่าๆ ของผมยังมีประโยชน์อยู่บ้าง

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ20 มกราคม 2555 เวลา 23:29

    เป็นหนังสือที่ซื้อตั้งแต่สมัยเรียน แต่ยังไม่เคยหยิบมาอ่านเลย-จนถึงวันนี้
    (ปกมันน่าจะออก ดำๆ )
    สังหรณ์ใจว่า น่าจะต้องใช้พลังเยอะ
    หุๆ จริงๆ ด้วยอะ
    ขอบคุณค่ะ เขียนหนังสือดีจัง

    (ว่าแล้ว ก็-ยกหนังสือเล่มนี้ให้คนอื่นดีกว่า ไปรื้อๆก่อน)

    ตอบลบ
  4. วรรณกรรมอินเดียแนวนี้ "ใช้พลัง" ในการอ่านอย่างที่คุณว่า
    แต่ก็เข้มข้น และมีแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่าวรรณกรรมเพื่อชีวิตไทยส่วนมาก
    โดยเฉพาะของ ดร.ภวานี ภัฏฏาจารย์
    ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็มีอีกเรื่องที่ได้รับการแปลเป็นไทย คือ "พระแม่เจ้าทองคำ"
    ถ้ามีเวลา ก็น่าอ่านสักรอบ ก่อนยกให้คนอื่นไป

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ21 มกราคม 2555 เวลา 22:10

    อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม..
    ขอบคุณค่ะ สำหรับคำแนะนำ ^ ^

    ตอบลบ