โชคดีของยิ่งลักษณ์ที่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงจำนวนสิบห้าล้านคนเลือกเธอมา
โชคร้ายของประเทศไทยที่ได้ผู้ที่มีปัญหาวุฒิภาวะมาเป็นนายกรัฐมนตรี
โชคดีของยิ่งลักษณ์ที่ผลกรุงเทพโพลล์ในวันครบรอบ 1 ปีของรัฐบาล (5 สิงหาคม 2555)
ระบุว่าประชาชนร้อยละ 70.4 ต้องการให้เธอทำงานต่อ
โชคร้ายของของประเทศไทยที่ "ความหายนะมวลรวมประชาชาติ" จะยังดำเนินต่อไป
๐
หลายปีก่อน มีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งขอให้ผมเขียนถึง “ผู้หญิงของจอมยุทธ์” สักคนหนึ่ง และผมก็นึกถึงหญิงผู้เป็นร่างแหที่คลุมรัดลูกปลาน้อย-เซียวฮื้อยี้
โชคดี-ที่นักเขียนคนอื่น(ยัง)ไม่มีใครเลือกโซวเอ็ง โชคร้าย-ที่เมื่อผมเขียนเสร็จ สำนักพิมพ์ที่ขอไว้และรับไป ก็หายสาบสูญไปจากโลกของผม – เช่นเดียวกับที่ไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้น
แต่ผมก็รักข้อเขียนชิ้นนี้เสมอมา และหวังอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่ง จะมีโอกาสนำเสนอต่อผู้อ่านจำนวนมากกว่านิ้วบนมือ
๐
ในห้วงยามที่มีผู้นำเป็นสตรี จากการเลือกแล้วของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนสิบห้าล้าน
ทั้งยังคงเป็นที่เชิดชูบูชาเสมอมา ของสื่อคุณภาพ และนักวิชาการฉลาดเฉลียว แม้จะเป็นที่ตระหนักแน่ในความไร้ซึ่งสติปัญญาและวุฒิภาวะของเธอ อันนำมาทั้งความน่าอับอายในระดับนานาชาติ และความหายนะมวลรวมประชาชาติ
ถือว่าเป็นโชคดีของเธอ แต่ปัญหาคือ เธอเป็นโชคร้ายของประเทศไทย
ในทางกลับกัน เธอยิ่งทำให้ผมนึกถึงโซวเอ็ง ผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด เด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในสติปัญญาตนเอง รู้กาละ รู้เทศะ และรู้เท่าทันเสมอ เป็นผู้หญิงที่โก้วเล้งสร้างขึ้นมาเอง แล้วในที่สุดก็เขียนถึงเองว่า “เซียวฮื้อยี้โชคดียิ่ง” ...
๐
นอกจากเรื่องราว/เหตุการณ์มากหลาย ผู้คนมากมาย เซียวฮื้อยี้ยังผ่านพบและเกี่ยวข้องกับสตรีมากหน้า ซึ่งหลายคนไม่อาจพบผ่านเพื่อลืมเลือน
ทิซิมลั้ง หนึ่ง, เทพธิดาน้อย-เตียแซ หนึ่ง, ม่อย้งเก้า อีกหนึ่ง ล้วนเป็นสาวงามที่ดึงดูดใจ ทั้งมีวิชาฝีมือที่สูงส่ง–สูงกว่าเซียวฮื้อยี้เมื่อแรกที่เพิ่งออกจากหุบเขาคนโหด และต่างมีคุณสมบัติที่อาจสามารถครองใจเขาได้ทั้งสิ้น
ในจำนวนนี้ ทิซิมลั้งมีบทบาทอยู่ในชะตาของเซียวฮื้อยี้มากที่สุด ไม่อาจบอกได้ว่านางไม่ได้รักเซียวฮื้อยี้ หรือว่าเซียวฮื้อยี้ไม่ได้รักนาง เพียงแต่ความในใจยังไม่ได้เปิดออก และยิ่งคลุมเครือเมื่อมีฮวยบ้อข่วยเข้ามาเกี่ยวข้อง
เป็นโซวเอ็งที่มาจัดแปรความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสามให้กระจ่างชัดเจนขึ้น ทำให้ทุกคนค่อยๆ หยั่งถึงความรู้สึกจริงแท้ระหว่างกัน ด้วยความตั้งใจแน่วแน่/เปิดเผยเพียงประการเดียวของเธอ ซึ่งอาจสรุปด้วยประโยคที่เธอบอกกับพวกเจ้าจอมโหดที่เลี้ยงดูเซียวฮื้อยี้มา “ข้าพเจ้ามิใช่เพียงแต่คิด (แต่งงานกับเซียวฮื้อยี้) ข้าพเจ้ามิอาจไม่แต่งงานกับเขา”
ตั้งแต่วันแรกที่ถือกำเนิด เซียวฮื้อยี้ก็เป็นเช่นลูกปลาน้อยที่เล็ดลอดจากร่างแหแห่งภยันตรายถึงชีวิตมาได้นับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งด้วยโชคชะตา บางคราวด้วยสติปัญญา แต่ภายใต้ร่างแหอันถี่ถ้วนของโซวเอ็ง เซียวฮื้อยี้ไม่อาจหนีพ้น
๐
โก้วเล้งแนะนำโซวเอ็งต่อผู้อ่านครั้งแรก ผ่านแป๊ะฮูหยินเมื่อลวงให้ฮวยบ้อข่วยไปขอการรักษาจากนาง ลับหลังฮวยบ้อข่วย แป๊ะซัวกุนบอกกับกังเง็กนึ้งว่า “ไม่ถึงสามวันรับรองต้องบ่งบอกเคล็ดลับของวิชาตอนต่อบุปผาเชื่อมโยงหยกออกมา”
โซวเอ็งไม่ได้มีวิชาฝีมือสูงส่งที่จะเค้นคั้นผู้คน โก้วเล้งถึงกับจงใจให้โซวเอ็งไม่มีวิชาฝีมือใดๆ เพื่อจะขับเน้นไหวพริบสติปัญญาของเธอให้โดดเด่น ซึ่งประจักษ์ชัดในอีกไม่นานหลังจากนั้น จากทั้งหลุมพรางที่เธอขุดล่อให้ฮวยบ้อข่วยคายเคล็ดลับวิชาที่ไม่อาจแพร่งพราย ทั้งวิธีที่เธอจัดการกับสองสามีภรรยาแซ่แป๊ะ และกับกังเง็กนึ้งผู้มากเล่ห์เพทุบายถึงขนาดเคยทำให้เซียวฮื้อยี้เสียทีมาแล้ว
ฉากแรกที่โซวเอ็งปรากฏตัว อยู่ในหุบเขาลับที่เธอพำนัก จากสายตาของฮวยบ้อข่วย ผู้อ่านได้เห็นภาพจากระยะไกลเป็นเงาร่างอ้อนแอ้นริมธารน้ำ “นางนิ่งก้มศีรษะอยู่ที่นั้น คล้ายครุ่นคิดคำนึงและคล้ายพร่ำพรรณนาถึงวัยสาวที่เลือนลับ ความอ้างว้างในป่าเขา ต่อมัจฉาที่แหวกว่ายในสายธาร”
นั่นคือการเผยแสดงบุคลิกด้านที่โดดเดี่ยวของเด็กกำพร้าที่งุ่ยบ้อแง้รับมาเลี้ยงดู และให้แยกอยู่ตามลำพังโดยไม่มีใครกล้าตอแยสิ่งที่ถือเป็น “ของวิเศษ” ของหนึ่งในสิบสองนักษัตรที่ร้ายกาจที่สุด
ภาพต่อมา เมื่อโซวเอ็งเหลียวมามอง เราก็ได้พบกับสาวงามที่สามารถกลบข่มสีสันของดอกไม้ในหุบเขา แต่โก้วเล้งก็ระมัดระวังไม่ให้โซวเอ็งงดงามหมดจดจนเกินไป “อาจบางทีนางไม่สดใสสะคราญเช่นทิซิมลั้ง ไม่งามซึ้งตรึงตราเช่นม่อย้งเก้า และไม่งดงามเฉิดฉายเช่นเทพธิดาน้อย...” เพราะเขามุ่งจะขับเน้นบุคลิกด้านอื่นของโซวเอ็งที่สะกดตรึงผู้คนยิ่งกว่าความงาม
เทพธิดาน้อยเป็นตัวละครหนึ่งที่โก้วเล้งใช้เพื่อการนี้ เธอกล่าวถึงโซวเอ็งเมื่อแรกเห็นว่าเป็นเพียง “ทารกหญิงที่มีศีรษะใหญ่โต ไม่งดงามแม้แต่น้อย” เมื่อคำนึงถึงความงามดั่งเทพธิดาของเตียแซ กับเยื่อใยที่เคยมีระหว่างเธอกับเซียวฮื้อยี้ ใครก็ไม่อาจตำหนิที่เธอนึกหัวเราะเยาะลูกปลาน้อยว่าเลือกไปเลือกมาก็ได้แค่นี้เอง แต่ “ภายหลังข้าพเจ้ายิ่งมายิ่งรู้สึกว่า ทารกหญิงนั้นประเสริฐยิ่ง ทุกยิ้มแย้ม ทุกความเคลื่อนไหว ไม่อาจค้นหาข้อบกพร่องได้ แม้แต่ข้าพเจ้าเห็นแล้วยังหวั่นใจ”
บุคลิกภาพของโซวเอ็งมีทั้งด้านที่สูงสง่าจนบางครั้งดูยโส เย็นชา ตามที่งุ่ยบ้อแง้เลี้ยงมาด้วยจงใจให้เป็นภาพแทนของสองประมุขวังตอนต่อบุปผา ด้านที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในสติปัญญาและความสามารถในการอ่านความคิดผู้คน ด้านที่เด็ดเดี่ยวของผู้ที่หยั่งถึงความต้องการที่แท้จริงของตน ในขณะเดียวกันก็มีต้านที่เปิดเผยมีชีวิตชีวา และด้านที่พลิกแพลงยากโต้แย้งยากปฏิเสธ
แม้แต่ชื่อโซวเอ็ง ก็มีนัยที่โก้วเล้งเลือกมาอย่างมีความหมาย คำว่า “เอ็ง” ความหมายหนึ่งคือความองอาจ อย่างที่ฮวยบ้อข่วยเข้าใจเมื่อแรกได้ยินชื่อ แต่ความหมายที่แท้จริงคือเชอรี่จีนอันหอมหวาน
๐
ด้วยบุคลิกเหล่านั้นที่ประกอบรวมเป็นโซวเอ็ง ทำให้โก้วเล้งสามารถสร้างแบบฉบับของผู้หญิงก่อนกาลสมัย ที่กล้ารัก กล้าเปิดเผย โดยไม่ทำให้ผู้อ่านเดียดฉันท์ หรือทำให้ตัวละครดูด้อยค่า
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เซียวฮื้อยี้เป็นที่ต้องตาของโซวเอ็งตั้งแต่แรกเห็นเขาเข้าไปเผชิญกับงุ่ยบ้อแง้ในถ้ำมุสิก เพราะลูกปลาน้อยมีความสามารถในการดึงดูดใจผู้คนเสมอมา การที่โซวเอ็งลอบช่วยเหลือรักษาเขาก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทิเพี้ยโกวก็เคยช่วยเซียวฮื้อยี้หลบหนีจากประมุขวังตอนต่อบุปผา สิ่งที่โซวเอ็งแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางของเซียวฮื้อยี้ก็คือ เธอเอ่ยบอกความในใจของตัวเองโดยไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอับอาย
“ขอเพียงข้าพเจ้าชมชอบเขา ไม่ว่าเขาชมชอบข้าพเจ้าหรือไม่ ล้วนไม่เป็นไร” โซวเอ็งยังไปไกลกว่านั้นอีก เมื่อเธอบอกว่า “อย่าว่าแต่ต่อให้ตอนนี้เขาไม่ชมชอบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มีวิธีทำให้เขาชมชอบ”
รักแรกพบของโซวเอ็งอาจดูคล้ายความลุ่มหลงงมงายอย่างไร้เดียงสาที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กกำพร้าคนใดก็ตามที่เติบโตอย่างโดดเดี่ยวในหุบเขา แล้วพลันได้พบกับบุรุษที่แตกต่างและน่าดูกว่าบรรดาศิษย์บริวารของงุ่ยบ้อแง้ การเปิดเผยความรู้สึกและหาวิธีที่ทำให้เซียวฮื้อยี้ชมชอบก็อาจทำให้นึกถึงธิดาทิเบตตอนต้นเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่อีก เพราะเส้นที่ขีดแบ่งระหว่างโซวเอ็งกับ “เอียเท้าไร้เดียงสา” หรือ “โกวเนี้ยมากรัก” ก็คือ มีแต่คนอย่างเซียวฮื้อยี้เท่านั้นที่สามารถเกาะกุมใจเธอ ในขณะที่ความสง่างาม สุภาพอ่อนโยนของฮวยบ้อข่วยไม่มีความหมายใดๆ และความสามารถในการล่อลวงสตรีจนลุ่มหลงของกังเง็กนึ้งก็ยิ่งล้มเหลว เพราะเมื่อเธอพึงตาต้องใจเซียวฮื้อยี้อแล้ว สิ่งที่จะต้องดำเนินต่อไปก็คือสิ่งที่โก้วเล้งบรรยายไว้ว่า “ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าเรื่องราวใด อย่าคิดหมายให้นางเปลี่ยนความตั้งใจ”
โซวเอ็งมีทั้งความชาญฉลาด มีทั้งความตั้งใจที่ไม่แปรเปลี่ยน และยังมีวิธีมากมายที่จะทำให้ความชมชอบของเธอบรรลุผล เธอติดตามเซียวฮื้อยี้แทบไม่ได้คลาดคลา อยู่เคียงข้างเขาในทุกสถานการณ์ กีดกั้นคนอื่นออกห่างจากผู้ชายของเธอด้วยท่าทีสนิทสนมกับเขาอย่างไม่ปิดบัง
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งหนึ่งโซวเอ็งถึงกับส่งทิซิมลั้งไปหางุ่ยบ้อแง้ตั้งแต่แรกรู้จัก เพื่อกันศัตรูความรักของเธอออกไป สตรีที่ดีงามอาจไม่ใช่เล่ห์กลเช่นนั้น และไม่แน่ว่าทุกคนจะยอมรับเหตุผลที่เธอบอกอธิบายว่า “สตรีนางหนึ่งกระทำเพื่อคนที่นางรัก ไม่ว่าทำอะไรล้วนไม่เสื่อมเสียหน้า” แต่เมื่อ “ไม่ว่าทำอะไร” ของโซวเอ็งรวมไปถึงการโดดโพรงถ้ำหมายตายตามเซียวฮื้อยี้ไปจริงๆ และรวมถึงการเดิมพันชีวิตกับฮวยบ้อข่วยด้วยสุราผสมยาพิษก่อนที่การประลองถึงชีวิตระหว่างเขากับเซียวฮื้อยี้จะเริ่มขึ้น ทุกคนก็ได้แต่ยอมรับจิตใจอันแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนของเธอ
โซวเอ็งจึงต่างจากทิซิมลั้งอย่างสุดขั้ว เธอไม่อ่อนไหว ไม่เจ้าทุกข์ ไม่ซุกซ่อนความในใจจนสับสน และไม่ยอมให้ชีวิตถูกพัดพาไปตามชะตาเช่นทิซิมลั้ง เมื่อรู้ว่าการประลองฝีมือระหว่างเซียวฮื้อยี้กับฮวยบ้อข่วยไม่อาจหลีกเลี่ยง และทั้งทิซิมลั้ง ทั้งโซวเอ็งต่างก็รู้ว่า เซียวฮื้อยี้ไม่อาจต้านทานฮวยบ้อข่วยได้ ทิซิมลั้งไปหาฮวยบ้อข่วย ขอร้องให้เขาไม่ฆ่าเซียวฮื้อยี้ ทั้งที่รู้ว่าเมื่อฮวยบ้อข่วยไม่ฆ่าก็ย่อมถูกฆ่า ทั้งที่ทิซิมลั้งก็ไม่ได้อยากให้ฮวยบ้อข่วยตาย ทั้งที่ถึงขณะนั้นฮวยบ้อข่วยได้กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ โซวเอ็งก็ไปหาฮวยบ้อข่วย แต่เพื่อใช้ชีวิตตัวเองเดิมพันไม่ใช่ร้องขอ ถ้าเธอแพ้ เธอก็ตาย และหลังจากนั้นเซียวฮื้อยี้ก็คงตายตาม
แต่ถ้าเธอชนะ เซียวฮื้อยี้ก็จะมีชีวิตอยู่
๐
เซียวฮื้อยี้มักอวดอ้างว่าเขาเป็น “คนชาญฉลาดอันดับหนึ่งของแผ่นดิน” โซวเอ็งก็ไม่ต่างกันนัก ครั้งหนึ่งเธอบอกกับฮวยบ้อข่วยว่า “ทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีผู้ใดสะกดข่มข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าอยู่สูงเลิศลอยตลอดกาล”
เมื่อพบเซียวฮื้อยี้ โซวเอ็งรำพึงว่าเซียวฮื้อยี้เป็น “ดาวอสูรในชีวิตของเรา เหตุใดเราพอพบพานเขาก็สูญเสียความคิดอ่านไป” แต่ในสายตาหลายคนที่รู้จักเซียวฮื้อยี้ เคยลิ้มรสความเจ้าเล่ห์แสนกลหรืออย่างน้อยก็รับรู้ความสามารถของเขาในการก่อกวนผู้คนจนอาจคลั่งใจตายได้ ครั้นเมื่อได้เห็นโซวเอ็งอยู่ข้าง ต่างพูดจาคล้ายกันว่าเธอเป็น “ดาวข่ม” ของลูกปลาน้อย
ทั้งคู่ต่างเป็นดาวข่มซึ่งกันและกัน ยามเมื่อต่อปากต่อคำจึงมีรสชาติ มีสีสัน ตอนที่โซวเอ็งกระโดดลงไปในโพรงถ้ำ เซียวฮื้อยี้ช่วยรักษาชีวิตเธอไว้ แต่คำถามของเขาไม่หมายรักษาน้ำใจเธอเลย “ข้าพเจ้ากับท่านไม่มีความสัมพันธ์อุบาทว์แม้แต่น้อย ท่านไฉนต้องตายเพื่อข้าพเจ้า? หรือท่านต้องการให้ข้าพเจ้าสำนึกขอบคุณท่าน? เป็นข้าทาสของท่านไปชั่วชีวิต?”
โซวเอ็งกลับตอบอย่างปลอดโปร่งว่า “ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการให้ท่านเป็นข้าทาสของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้ท่านเป็นสามีข้าพเจ้า”
อีกครั้งหนึ่ง ก่อนวาระสุดท้ายของลี้ตั่วฉุ่ย เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศรันทดหดหู่ เซียวฮื้อยี้ห้ามทุกคนร้องไห้ “หากผู้ใดหลั่งน้ำตาอีก ข้าพเจ้าจะบีบบังคับนางเป็นภรรยาข้าพเจ้า ให้นางล้างเท้าโสโครกให้แก่ข้าพเจ้าทุกวัน” ลูกสาวลี้ตั่วฉุ่ยพยายามปาดเช็ดน้ำตา แต่โซวเอ็งกลับร้องไห้ออกมา ก่อนจะถามว่า “ท่านไฉนไม่บีบบังคับข้าพเจ้าแต่งงานกับท่าน?”
ในแง่นี้โซวเอ็งจึงต่างจากเทพธิดาน้อยที่ดื้อรั้นอย่างไม่ลดราวาศอก เธอรู้เวลาที่จะทุ่มเถียงกับเขา รู้เวลาที่จะเก็บคำ รู้เวลาที่จะช่วยคิดอ่าน รู้เวลาที่จะปลอบโยน รู้เวลาที่จะใช้เล่ห์กล รู้เวลาที่จะใช้มารยาอุบาย รู้เวลาที่จะยืนเคียงข้าง และรู้เวลาที่จะอยู่ข้างหลังหนึ่งก้าว เมื่อโก้วเล้งบรรยายตอนที่ทั้งสองทั้งขู่ทั้งปลอบเพื่อเค้นเอาความจริงจากผู้อื่นว่า “คนหนึ่งรับบทหน้าดำ (ตัวร้ายบนเวทีงิ้ว) คนหนึ่งสวมบทหน้าขาว (ตัวเอก)” ไม่เพียงทำให้ผู้อ่านเห็นด้วยว่า “หากพวกเขายังไม่อาจคาดคั้นความจริงจากผู้อื่น ยังมีผู้ใดคาดคั้นได้” แต่ยังคล้อยตามไปด้วยว่า “นับเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมาจริงๆ”
ผู้ชายหลายคนเลือกผู้หญิงจากหน้าตา-ความงาม บางคนเลือกจากความคู่ควรทางสถานะ แต่บางคนกลับต้องการผู้หญิงที่เท่าทัน เซียวฮื้อยี้เป็นคนประเภทหลัง และโซวเอ็งก็ทั้งเท่าทันทั้งรู้ใจ
นับจากรอดชีวิตจากงุ่ยบ้อแง้ เซียวฮื้อยี้ทั้งไม่แสดงความขอบคุณ ทั้งยังว่าร้าย ระราน และพยายามสลัดหลุด เราไม่รู้แน่ว่าโซวเอ็งอ่านเซียวฮื้อยี้ปรุโปร่ง หรือเพียงปลอบใจตัวเอง เมื่อเธอบอกว่าพฤติกรรมและวาจาทั้งหมดของเซียวฮื้อยี้เป็นเพียงเพราะในใจเขากลัวว่าจะสยบยอมต่อเธอ หลงรักเธอ เพราะอย่างน้อยในเวลานั้น ในใจเซียวฮื้อยี้ยังคงมีทิซิมลั้ง
แต่ภายใต้ร่างแหอันถี่ถ้วนของโซวเอ็งที่ดูเหมือนยิ่งแผ่คลุมและโอบรัด เซียวฮื้อยี้ก็ดูเหมือนยิ่งพยายามน้อยลงที่จะสลัดหลุด ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ซึมซับรับรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิต ... รสชาติอันอบอุ่น นุ่มนวล หวานชื่น ที่สามารถพลิกกลับร่างแหในจินตนาการของเขาให้กลายเป็นตาข่ายรองรับที่ให้ความรู้สึกอุ่นใจ มั่นคง
สุดท้าย เราก็ได้แต่คล้อยตามโก้วเล้งอีกครั้งว่า “เซียวฮื้อยี้โชคดียิ่ง”
#
หมายเหตุ
- “เซียวฮื้อยี้” เป็นหนึ่งในเรื่องเอกของโก้วเล้ง ฉบับภาษาไทยดั้งเดิมเป็นฝีมือแปลของ ว. ณ เมืองลุง แต่การอ้างอิงในที่นี้ ใช้ตามฉบับที่ น.นพรัตน์ ได้แปลซ้ำอีกครั้งจากต้นฉบับปรับปรุงแก้ไขใหม่ ที่โก้วเล้งบอกว่าได้ตัดทอนส่วนที่เขาเห็นว่า “ไม่จำเป็น ไม่เจริญวัย และไม่พอใจ” ทิ้งไป สำนวนนี้ใช้ชื่อว่า “ลูกปลาน้อย เซียวฮื้อยี้” พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2535 โดยสยามสปอร์ตพริ้นติ้ง ในรูปแบบหนังสือปกอ่อนขนาดบาง 36 เล่มจบ
#
ปรับปรุงเมื่อ 6 เมษายน 2555
จากต้นฉบับที่เขียนเมื่อปี 2549
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร สีสัน ปีที่ 23 ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2555) จากต้นฉบับที่เขียนเมื่อปี 2549
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น