วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

The Way We Walk

คงเป็นเพราะผมไปจากเมืองซึ่งสิทธิของคนเดินเท้าถูกละเมิดมากที่สุดแห่งหนึ่ง ผมจึงหลงใหลได้ปลื้มกับบ้านเมืองใดก็ตามที่รักษาทางเท้าไว้ให้เป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ของคนเดินเท้า
            มันคงไม่ใช่ความดัดจริตของชนชั้นไหน อย่างที่เดี๋ยวนี้ชอบยกมาเป็นข้อต่อสู้/กล่าวหา เวลาที่มีคนคิดแตกมองต่าง (แล้วไม่รู้จะเอาอะไรไปถกกับเขา) แต่มันเป็นเรื่องของสิทธิ อันผูกโยงกับเทศะ กาละ และบริบท
            สำหรับผม-ทางเท้าก็คือพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า และถ้ามันกว้างขวางเพียงพอ มันก็คงไม่เป็นไร หากเราจะแบ่งปันให้เป็นทางรถจักรยานบ้าง จอดรถจักรยานบ้าง ตู้โทรศัพท์และส้วมสาธารณะบ้าง อะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ส่วนรวม
            แต่ ไม่ใช่แผงสินค้าที่ยื่นจากร้านออกมา ไม่ใช่แผงลอย-ซึ่งแม้จะผ่อนผันและตีเส้นให้แล้ว ก็ยังต้องให้ได้ล้ำเส้นออกมา ไม่ใช่รถเข็นและโต๊ะนั่งกินอาหาร รวมถึงที่ล้างจานชาม ไม่ใช่วินมอเตอร์ไซค์ และยิ่งไม่ใช่ที่ปลูกต้นโฆษณา
            การใช้ประโยชน์แบบนั้น เราอาจยกเว้นให้ได้ในบางย่านบางเวลา เพื่อเป็นสีสัน เป็นชีวิต เป็นกิจกรรมวันหยุด หรืออะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่ไม่ใช่ว่าใครอยากจะทำอะไรบนทางเท้าที่ไหน ก็ต้องได้ทำ
            ยกเว้นการเดินอย่างสะดวก ปลอดภัย และสบายใจ
ผมอาจจะเคยเดินทางไปไม่กี่ประเทศ แต่ก็ได้ประสบการณ์บนทางเท้าที่หลากหลายพอสมควร
            ผมชอบบรรยากาศทางเท้าที่เรียบริมฝั่งทะเลของเล็กซานเดรีย เช่นเดียวกับที่เคยชอบทางเดินริมอ่าวมนิลา บรรยากาศของเมืองและภูมิทัศน์เฉพาะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่มันก็สะท้อนความอึดอัดของคนที่มาจากประเทศซึ่งพื้นที่ริมแม่น้ำริมทะเลส่วนใหญ่ไม่ใช่พื้นที่เปิดสำหรับสาธารณชน
            ญี่ปุ่นเป็นประเทศซึ่งถ้าไม่ใช่ที่สุด ก็ต้องติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่ “น่าเดิน” ทั้งในแง่ความสะดวก ปลอดภัย และเคารพ-ให้เกียรติคนเดินเท้า ทั้งบนดินและใต้ดิน เวลาเราไปมหานครที่แออัดอย่างโตเกียว เราอาจจะคิดได้ว่า กระบวนทัศน์เรื่องทางเท้าและการเดินเป็นผลิตผลของการเดินทางในโตเกียวเอง ที่ต้องอาศัยระบบขนส่งมวลชนเป็นหลักและมีการเดินเท้าเป็นสิ่งเชื่อมโยง ซึ่งก็อาจจะใช่ เมื่อเราคิดในมุมที่มองกลับมายังกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่อื่นๆ ในประเทศนี้ ที่ส่งเสริมความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยรถส่วนบุคคลและมีวินรถตู้กับวินมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเติมเต็ม
            แต่สิ่งที่อยู่เหนือกว่านั้นก็คือ: วิสัยทัศน์ทางผังเมืองและการขยายตัวของเมือง กระบวนทัศน์ทางโครงสร้างสาธารณูปโภคและการเดินทาง-ขนส่ง โลกทัศน์ของผู้บริหารประเทศและเมือง และที่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง--ชีวทัศน์และจิตสำนึกสาธารณะของพลเมือง
            ซึ่งสำหรับญี่ปุ่น โครงสร้างของระบบการเดินทางสัญจรทั้งหมด จากทางเท้าถึงรถไฟใต้ดินและรถไฟความเร็วสูง เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างทั่วถึงและสมดุล ไม่เฉพาะแต่โตเกียว แต่เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต่างมองเห็นและได้ใช้ประโยชน์ ทั้งใน โยโกฮาม่า โอซาก้า นาโงย่า ฮิโรชิม่า นารา เกียวโต ฯลฯ
ผมไปโอซาก้าช่วงปีใหม่ และเป็นครั้งแรกที่ได้เดิน เดิน และเดิน อย่างจริงจัง ในเมืองนี้
            เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เคยไปเตร็ดเตร่อยู่ย่านสถานีเจอาร์โอซาก้าเพียงประเดี๋ยวประด๋าวพอได้บรรยากาศว่าไปถึงโอซาก้าแล้ว ก่อนเดินทางต่อไปเมืองอื่น เมื่อไม่กี่ปีก่อน คณะทัวร์ก็จัดให้ไปเดินดูคนดูของย่านชินไซบาชิอยู่สองสามชั่วโมง นอกเหนือไปจากสถานที่ "ต้องไป" ประเภท ปราสาท พิพิธภัณฑ์ และสวนสนุก
            คราวนี้ ผมปักหลักอยู่หลายวันในโรงแรมย่านนัมบะ ซึ่งเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกสบายอย่างยิ่ง เพราะรถบัสไป-กลับสนามบินก็มีต้นสายอยู่ที่นี่ สถานีรถไฟเจอาร์ก็อยู่ติดกัน เดินลงใต้ดินไปอีกนิดก็เป็นสถานีรถไฟใต้ดินสามสายอยู่เรียงกัน
            ทางใต้ดินตรงนี้ มีชื่อเฉพาะว่า Namba Walk สร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมสถานีเจอาร์และสามสถานีรถไฟใต้ดินเข้าด้วยกัน แล้วก็ถือโอกาสทำเป็นศูนย์การค้าใต้ดินขนาดใหญ่ มีร้านค้าร้านอาหารมากมายตลอดเส้นทาง ซึ่งไปโผล่ที่ย่านโดตองบุริ (ที่ใครไปแล้วต้องไปถ่ายรูปกับป้ายไฟโฆษณากูลิโกะและภัตตาคารที่มีรูปปูยักษ์เป็นเครื่องหมาย) และจากตรงนั้น ถ้ายังมีแรงเหลือ ก็จะเดิน(บนถนน)ไปได้เรื่อยๆ จนถึงย่านชินไซบาชิ เป็นเส้นทางที่ทำให้นักช้อป “หลง” ได้เป็นวันๆ หรือหลายวัน เลยทีเดียว
            ตรงช่วงสถานีเจอาร์ต่อกับสถานีรถไฟใต้ดิน มีพื้นที่ที่เรียกกันว่า Chicago Gallery เป็นหอศิลป์แบบเปิด ที่ประดับด้วยงานจิตรกรรมยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ของอัครศิลปินอย่าง โกแกง, ฟาน ก๊อก, โมเนต์, เรอนัวร์ ฯลฯ รวมจำนวน 60 รูป

 Chicago Gallery ที่ Namba Walk เป็นหอศิลป์แบบเปิด 
ให้คนเดินผ่านได้ชื่นชมงานมาสเตอร์พีซจากยุคอิมเพรสชันนิสม์อย่างใกล้ชิด

           แวบแรกที่เห็น ผมถึงกับอึ้ง ตะลึง จนเดินต่อไม่ถูก ใครจะไปคิดล่ะครับ ว่าอยู่ๆ ก็จะได้เห็นผลงานระดับโลกมาติดวางให้ชื่นชมอยู่สองข้างทางเดินแบบนี้ ถึงจะไม่ใช่ชิ้นงานจริงก็เถอะ แต่งานที่จำลองมาอย่างประณีตด้วยฝีมือระดับสุดยอดแบบนี้ มาติดตั้งไว้บนทางที่คนเดินผ่านไปมาเป็นแสนๆ อย่างนี้ ถือเป็นความท้าทายระดับเทพเลยทีเดียว ท้าทายทั้งในแง่ศิลปศึกษาต่อมหาชน และท้าทายในแง่ที่ว่ามันจะรอดจากมือคนไปได้กี่ปี
            คำว่า “รอด” จาก “มือคน” กินความรวมหมดทั้งในกรณีสูญหายจากโจรกรรม เสียหายจากการแต้มเติมของคนมือบอน และเสื่อมโทรมไปตามสภาพแวดล้อม-เวลา-และรอยมือ ในกรณีหลังนี้ ผมมาค้นข้อมูลพบว่า เขาวาดกันบนแผ่นเซรามิกด้วยสีชนิดพิเศษ ซึ่งวิจัยกันแล้วว่าเหมาะกับสถานที่เปิดโล่งแบบนี้ ทั้งจะยังคงทนได้นานนับพันปี  ส่วนในสองกรณีแรก หกปีที่เปิดแกลเลอรี่นี้มา ก็คงเป็นคำตอบในตัวของมันเอง
            โครงการนี้จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือของ The Art Institute of Chicago ซึ่งเป็นผู้ครอบครองและคัดสรรผลงานทั้ง 60 ชิ้นนี้ ในโอกาสฉลอง 30 ปี ความสัมพันธ์ฉันท์บ้านพี่เมืองน้อง ระหว่างโอซาก้ากับชิคาโก เมื่อปี 2004 ส่วนที่ชิคาโก้นั้น ทางโอซาก้าก็ไปช่วยจัดสร้างสวนหินแบบญี่ปุ่นขึ้นมา จากจุดนี้ ผมก็ได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นมาว่า ความเป็นบ้านพี่เมืองน้อง หรือ sister city เขาเป็นกันได้กับหลายๆ เมือง อย่างที่โอซาก้านี่ เขายังมี sister city อีก 8 เมือง คือ เมลเบอร์น, มิลาน, เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก, ซาน ฟรานซิสโก, คันปูร์, เซาเปาโล, เซี่ยงไฮ้, ฮัมบูร์ก
            แต่ถ้าวัดกันโดยถือจำนวนเป็นสำคัญ คงเทียบกับกรุงเทพฯ ของเราไม่ได้ เพราะเท่าที่ค้นดู เรามีพี่น้องอยู่ไม่น้อยกว่า 21 เมือง
            ไม่แพ้คนที่นิยม add friend ใน facebook เลยทีเดียว
ที่แปลกตาสำหรับผมอีกอย่าง คือ การใช้จักรยานในโอซาก้า


ธรณีนี่นี้เป็นพยาน: ทางของคน ทางของรถจักรยาน ในโอซาก้า

            ผมไม่แปลกใจที่เห็นการใช้จักรยานของคนในเมืองสงบอย่าง นารา หรือกระทั่งเกียวโต แต่ไม่เคยรู้ว่าเมืองใหญ่อันดับ 2 ทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และอันดับ 3 ทางด้านจำนวนประชากร ทั้งยังมีความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่สูงกว่ากรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่มีคนใช้จักรยานเป็นพาหนะอย่างหนาตา แม้กระทั่งห้างใหญ่อย่าง Bic Camera ที่เป็นศูนย์รวมเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีแผนกจักรยานและอุปกรณ์ขนาดใหญ่โตตรงทางเข้า
            ด้วยความที่ทางเท้าของเขากว้างขวาง นอกจากใช้เป็นที่จอดจักรยานได้โดยไม่รบกวนคนเดินแล้ว ในย่านรอบนอกออกไปยังเห็นรถจักรยานปั่นกันบนฟุตปาธเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีเหตุผลเรื่องความปลอดภัยประกอบด้วย เพราะรถยนต์วิ่งกันได้ค่อนข้างเร็ว พอเข้าย่านชุมชนเขตเมืองที่เต็มไปด้วยคนเดิน จักรยานก็ลงไปแจมกับรถยนต์บนถนนแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
            ไม่เสี่ยงชีวิต
#
2 กุมภาพันธ์ 2554
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร สีสัน ปีที่ 22 ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2554)

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

มรดกโลก-มรดกไทย-มรดกใคร(หว่า)

ความย้อนแย้งแห่งเวลาก็คือ ในขณะที่เดือนปีดูแสนสั้น และยิ่งผ่านไปเร็วขึ้น เหตุการณ์ที่แฝงฝังในนั้น กลับดูเนิ่นนาน และห่างไกล
ผมเพิ่งไปสุโขทัยเมื่อช่วงวันหยุดต้นเดือนธันวาคม แต่ความรู้สึกตอนที่นั่งเขียนต้นฉบับนี้ในช่วงปลายเดือนเดียวกัน เหมือนกับว่ามันผ่านไปนานมากแล้ว อย่างไรก็ตาม ความประทับใจจากการเดินทางยังไม่เลือนไป
ความคิดที่จะไปสุโขทัยเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ตอนเดินผ่านบู๊ตโรงแรมในงานท่องเที่ยวไทยที่ผมไม่เคยจำชื่อได้ มันโยงย้อนกลับไปถึงวันที่เดินอยู่ในนครวัด แล้วแวบความคิดขึ้นมาว่า น่าจะกลับไปชมดูมรดกโลกของเราเองบ้าง อะไรบ้าง (คำว่าอะไรบ้างในที่นี้ นอกจากเป็นสร้อยคำตามสมัยนิยม ยังหมายถึงเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ และปราสาทหินหลายแห่งที่มีตำแหน่งแห่งที่เชื่อมโยงกันกับนครวัดอย่างน่าสนใจ)
เมื่อมีที่พักดีๆ ในราคาที่พอเหมาะพอควร กับเวลาที่พอจะปลีกตัวจากตารางงานได้ จะให้ผมขับรถไปถึงไหน ก็ไปได้ทั้งนั้นแหละ การใช้ที่พักและราคาของที่พักเป็นเงื่อนไข ก็เพราะว่าถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการเที่ยวมาทั้งวัน กลับมาถึงห้องพักก็ควรจะได้รื่นรมย์และผ่อนคลาย ไม่ใช่งุ่นง่านหรือคันคะเยออยู่ในห้องพักที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะเรื่องความ(ไม่)สะอาด ซึ่งจะให้ประสบการณ์ดีๆ เสียรส
สุโขทัยมีโรงแรมใหม่ๆ ดีๆ ผุดขึ้นมาเยอะทีเดียว ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลพวงจากมรดกโลก ที่ทำให้สุโขทัยเป็นเมืองปลายทางของนักท่องเที่ยว ต่างจากเมื่อก่อนที่แทบจะไม่ได้เป็นกระทั่งเมืองผ่าน ช่วงที่ผมไป เจอนักท่องเที่ยวหลายชาติหลายภาษาพอสมควร มาแบบเริด ขนาดจัดดินเนอร์หรูเฉพาะหมู่คณะกลางสวนโรงแรมสี่ดาวก็มี แต่ที่มาแบบรุ่ย พักเกสต์เฮาส์-โฮมสเตย์ ปั่นจักรยานเที่ยวก็มีอีกเหมือนกัน
สุโขทัยเปลี่ยนไปจากที่ผมเคยไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอยู่บ้าง เป็นการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะ ซึ่งยังคงความเนิบ นิ่ง และดูจริงใจ มีบางอารมณ์และบางสถานที่ที่ทำให้นึกถึงวังเวียงและหลวงพระบาง ในขณะที่เวลาในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัย ให้อารมณ์ของนครวัดที่ย่อส่วนทุกอย่างลงมา
ตัวอุทยานฯ ทั้งสองแห่งได้รับการดูแลดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับภาพในความทรงจำ วันที่ผมไปถึงสุโขทัย เป็นวันเสาร์แรกของเดือน ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมีการจัดแสดงแสงเสียงแบบเบาๆ เก็บค่าเข้าชมพร้อมดินเนอร์เพียงคนละ 600 บาท ซึ่งไม่แพง แต่ผมยังอิ่มอยู่ และเพิ่งผ่านประสบการณ์ “เสมือน” แอบดูอยู่ไกลๆ จากการดูโขนมาหมาดๆ จึงสมัครใจแอบดูอยู่อีกฝั่งของสระน้ำรอบวัดสระศรีที่เป็นเวทีแสดง ขึ้นชื่อว่า “มินิไลท์แอนด์ซาวด์” ทำให้ไม่ต้องคาดหวังกันมากนัก ถือเป็นเวทีฝีกซ้อมของเหล่านักเรียนนาฏศิลป์ ที่สมประโยชน์กันทุกฝ่าย
ตามข้อมูลที่มี อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยปิดราวๆ ห้าโมงเย็น แต่คงเป็นเพราะการแสดงแสงเสียงที่ทำให้ผมมีโอกาสเที่ยวรอบๆ อุทยานฯ ตั้งแต่ช่วงเย็นถึงค่ำ ซึ่งได้บรรยากาศอย่างหนึ่ง ตอนเช้าเข้าไปเที่ยวชมอีกครั้ง ก็ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง เช้าวันนั้นเป็นวันที่ 5 ธันวาคม มีการนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาต เห็นชาวบ้านชาวเมืองมายืนเรียงตักบาตรกันเป็นแถวยาว ผมกับภรรยาก็หยิบฉวยของที่เตรียมไว้ทำสังฆทานจากท้ายรถไปต่อคิวกับเขาด้วย เหมือนตอนไปหลวงพระบาง-อย่างนั้น
ที่ให้ความรู้สึกดีอีกอย่าง (ส่วนจะดีหรือไม่ดี-เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) คืออุทยานฯ ทั้งสองแห่งเปิดให้ขับรถเข้าไปเที่ยวชมภายในได้ ซึ่งก็สะดวกดีสำหรับผม โดยเฉพาะที่ศรีสัชนาลัยซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่า อาจจะมีคนรู้สึก “ขวาง” กับการปล่อยให้ขับรถส่วนตัวเข้าไปในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ บ้างก็อาจเป็นห่วงเรื่องผลกระทบต่างๆ กับโบราณสถานสำคัญ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ควรจะถกกันด้วยข้อมูล
แต่ระหว่างนี้ ที่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และจำนวนรถของนักท่องเที่ยวก็อาจจะไม่มากมายอะไร มันก็ช่วยให้อุทยานประวัติศาสตร์มีความเป็นกันเองไปอีกแบบ

แต่สำหรับคนที่ไม่มีรถ การเที่ยวเมืองไทยไม่ใช่เรื่องสนุกนัก และยังไม่สะดวกเอาเสียเลย
            ตอนที่คุยเกี่ยวกับการเดินทางเที่ยวนี้ ผมก็เล่าไปในมุมมองของผม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นมุมมองของคนขับรถเที่ยวเอง ลืมไปว่ามีคนที่ไม่ขับรถแต่อยากเที่ยวให้ทะลุเหมือนคนขับรถบ้าง อย่างเช่นที่ คุณน้องผู้ช่วยบรรณาธิการ “สีสัน” เธอบ่นว่า บ้านเราน่าจะมีระบบรองรับคนที่ไม่ได้ขับรถเที่ยวมากกว่านี้
            ซึ่งจริงทีเดียว
            ไม่ต้องอื่นไกลไปถึงเมืองที่ไม่คุ้น คิดเพียงแค่ว่าถ้าผมลงนคร(ศรีธรรมราช) โดยไม่ขับรถลงไป เอาละ ผมคงหารถจากโรงแรมไปวัดพระมหาธาตุได้ไม่ยาก แต่ถ้าผมอยากไปยืนอยู่สุดปลายแหลมตะลุมพุก ผมอาจได้อาศัยรถโดยสารหรือรถแท็กซี่ระหว่างอำเภอ แต่ไปถึงปากพนังแล้ว ผมก็คงเคว้งไม่รู้จะไปต่ออย่างไร เว้นเสียแต่ผมจะเหมารถแท็กซี่ไปจากนครฯ หรือใช้บริการรถโรงแรม
            ต้องวงเล็บไว้สักนิดว่า (นครฯ เป็นหนึ่งในจังหวัดมากมาย ที่ยังไม่มีบริษัทรถเช่า)
            หรือถ้าลองคิดอีกมุม โครงสร้างการเดินทางของเรามันไม่เอื้อกับการเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่กรุงเทพฯ แล้ว เรามีรถไฟ(ลอย)ฟ้าสองสายสั้นๆ กับรถ(ไฟฟ้า)ใต้ดินที่แล่นไม่ครบวงเล็กๆ ผมลองสมมุติตัวเองเป็นคนต่างชาติ ลองกำหนดเส้นทางไปโน่นนี่อย่างที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พึงไป แล้วก็อ่อนใจ
            โชคดีที่กรุงเทพฯ ยังมีตุ๊กตุ๊ก และแท็กซี่ก็ราคาไม่แพง
            เรา (หมายถึงคุณๆ ด้วย) ต่างก็มีประสบการณ์ต่างบ้านต่างเมืองกันมาบ้าง และคงจะเห็นว่าความสะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวในหลายๆ ประเทศนั้น ถ้าไม่ใช่ประเทศที่เขาใส่ใจกับการทำให้โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานตอบสนองความพึงพอใจประชาชนของเขาเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และนักท่องเที่ยวพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ก็จะเป็นประเทศที่สร้างระบบเหล่านั้นขึ้นมารองรับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่นำรายได้ไปส่งให้เขาถึงบ้าน
            ไม่ต้องพูดถึงความเป็นระบบของประเทศอย่างญี่ปุ่น และความสามารถในการจัดการแบบสิงคโปร์ ครั้งหลังสุดที่ผมไปฮ่องกง--ซึ่งเป็นครั้งแรกหลังจากฮ่องกงกลับไปอยู่ใต้การปกครองของจีน ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนก็คือโครงข่ายการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินที่เพิ่มขึ้น กับการออกแบบทางเดินที่ลดอัตราการข้ามถนนและความเบียดเสียดแออัดบนทางเท้า ทั้งทางเดินจากรถใต้ดินแต่ละสถานีที่เชื่อมออกไปได้มากมาย และทางเดินยกระดับหรือสกายวอล์คในหลายย่าน
         มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเราไม่มีอย่างเขา แต่เป็นเพราะทางเท้าของเรา นอกจากจะถูกยึดครองโดยรถเข็น แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ แล้ว นับวันยังถูกกีดขวางเบียดบังโดยสิ่งที่ผมเรียกว่า “ต้นโฆษณา”

ต้นไม้หลายคนโอบในพื้นที่มรดกโลก กับต้นโฆษณาที่ไม่รู้ว่าเป็นมรดกใคร?



วันที่ผมไปสุโขทัย ที่กรุงเทพฯ มีเรื่องตลกร้าย ตัดต้นไม้อายุร้อยปีที่ซอยสุขุมวิท 35 ฉลองวันสิ่งแวดล้อมไทย
            เรื่องนี้เริ่มเป็นประเด็นขึ้นมาช่วงเดือนพฤศจิกายนในเฟซบุ๊ค โดยกลุ่ม Big Trees Project ที่ออกมาพูดแทนต้นไม้ เพราะว่า “ต้นไม้พูดไม่ได้ หนีไม่ได้” ต้นไม้ในที่นี้เป็นต้นไม้เก่าแก่บนที่ดินแปลงซึ่งกำลังจะถูกแปลงโฉมเป็นศูนย์การค้าและอพาร์ทเมนท์หรู เหมือนกับเอ็มโพเรียมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
            เห็นได้ว่า คนเปิดเกมและเปิดหน้านี้ในเฟซบุ๊ค มีเจตนาดีและพยายามเสนอทางออกที่น่ารับฟัง โดยเริ่มตั้งแต่ ชะลอการตัด ระดมทุน-ระดมสมอง-ระดมแรงเพื่อไถ่ชีวิตต้นไม้ไปปลูกที่อื่น และผลักดันไปสู่การออกกฎหมายคุ้มครองต้นไม้เหมือนกับที่บางประเทศได้ทำไปแล้ว แต่ก็น่าเหนื่อยใจตรงที่ผู้ซึ่งร่วมด้วยช่วยกันบางส่วน เอาแต่แสดงความคิดเห็นเชิงด่าทอที่ทั้งไม่สร้างสรรค์และไม่เกิดประโยชน์อะไร
            การด่านายทุน การประณามความเห็นแก่ตัว น่ะ คนที่พูดได้ก็ด่าเป็นกันทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในบริบทที่กฎหมายของเรายังยื่นมือไปไม่ถึงต้นไม้ในที่ดินเอกชน ก็คือความเป็นปฏิปักษ์ ความยากของคนที่ไปเจรจา และเร่งให้ปิดเกมเร็วขึ้น

            ตอนที่เห็นข่าวนี้ ผมนึกถึงรูปที่ผมเคยถ่ายเก็บไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือ บังเอิญที่ถ่ายจากหน้าเอ็มโพเรียม บังเอิญที่ถ่ายในช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่ตั้งใจถ่ายรูปของต้นโฆษณา ซึ่งโดยไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบ ผมก็ยังเห็นว่า น่าจะโค่นทิ้งมากกว่าด้วยประการทั้งปวง
            เริ่มกันตั้งแต่เลือกผู้ว่า กทม. สมัยหน้าเลยดีไหม?                    
#
29 ธันวาคม 2553
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร สีสัน ปีที่ 22 ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2554)