วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชีวิต ..... อนิจจัง



เมื่อวานนี้ (ศุกร์ 12 พ.ย.) ทั้งวัน ผมวุ่นๆ อยู่กับเรื่อง ศพ


ตอนสายๆ เคลียร์งานเบื้องต้นได้ ก็ออกไปสั่งทำกรอบรูปที่จะใช้วางหน้าศพ รูปที่ใช้­­ – ซึ่งเป็นรูปที่ทุกคนเห็นชอบ – น่าจะใหญ่ได้อีก แต่ดูตารางเวลากับสิ่งที่ต้องทำ ผมเลือกดิ่งไปร้านทำกรอบรูป ให้เขาทำเมาท์สองชั้น ช่วยให้ได้กรอบขนาดใหญ่ขึ้น และจะได้มีพื้นที่สำหรับจัดวางดอกไม้โดยไม่มาบังรูป

จากนั้น ไปรอคิวรับผลการตรวจชันสูตร จากสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ แล้วเอาเสื้อผ้าที่จัดเตรียมไปด้วย ให้ทางเจ้าหน้าที่เขาช่วยกันอาบน้ำแต่งตัว (ต้องฉีดยารักษาสภาพศพด้วย) ก่อนบรรจุลงในหีบศพที่เตรียมไป นำไปส่งที่วัดโสมนัสราชวรมหาวิหาร ซึ่งมีญาติช่วยจองศาลาและจัดเตรียมเรื่องดอกไม้ อาหารไว้ให้แล้ว

ถึงที่นั่น ก็ต้องนำศพออกจากหีบ ขึ้นมาวางรอทำพิธีรดน้ำศพ ระหว่างนั้นก็นัดแนะ-ส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ ให้กับผู้ที่มาช่วยงาน เพื่อไปปิดเคสกับ สน.สุทธิสาร ที่แจ้งเหตุการเสียชีวิตเอาไว้ และเดินเรื่องขอใบมรณบัตรจากสำนักงานเขตดินแดง

ตัวผมกลับไปรับกรอบรูป แวะเคลียร์งานที่บริษัท ระหว่างนั้นก็ให้เมสเซนเจอร์ส่งรูปไปที่วัดก่อน จะได้ไม่มีใครร้อนใจ โทรสั่งหรีดจากร้านที่เคย(โทร)สั่งกันอยู่ (ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ วัดโสมฯ นั่นแหละ) ถามเขาว่าไม่ว่างไปโอนเงินให้ ทำไงดี? หรือว่าจะไปส่งค่ำๆ ตอนที่ผมถึงวัดแล้วแน่ๆ ร้านเขาก็ดี บอกว่าจะส่งหรีดให้ก่อน ผมไปถึงวัดเมื่อไหร่ ก็ช่วยโทรบอก จะได้ไปรับเงิน

ผมกลับไปทันได้รดน้ำศพ หลังจากต้องลุ้นกับการจราจรเล็กน้อย การสวดพระอภิธรรมที่นี่เริ่มตั้งแต่ 18.30 น. เมื่อเริ่มสวดเร็ว และสวดก็เร็ว จึงสวดเสร็จเร็วไปด้วย-เป็นธรรมดา การที่ญาติหลายคนมาถึงตอนที่พระสวดเสร็จกลับกุฎิไปแล้ว ก็น่าจะถือเป็นเรื่องธรรมดาอีกเหมือนกัน


แต่ตามความจำของผม เท่าที่เคยไปงานศพที่วัดโสมฯ มาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมฯ โน่น ผมไม่ยักรู้สึกว่าที่นี่สวดเร็ว เสร็จเร็ว ที่จำขึ้นใจจริงๆ ในเรื่อง “เร็ว” ก็คือ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน (เพราะผมเคยไปไม่ทัน)

ที่จริง ผมเริ่มวุ่นกับเรื่อง ศพ มาตั้งแต่ค่ำวันพฤหัสที่ 11 และเกือบๆ จะถอดใจล้มเลิกแผนเปิดบล็อกตามรหัส 12-11-10 ไปด้วยซ้ำ

ผู้ตายเป็นพี่ชายแท้ๆ คนถัดจากผมขึ้นไป เขากลับเข้าบ้านตอนบ่ายๆ และขลุกอยู่ในห้องนอนของเขาตามปกติ ที่ไม่ปกติก็คือเขาไม่ขานรับและเปิดประตูตอนไปเรียกให้กินอาหารมื้อเย็น


สุดท้ายจึงต้องปีนเข้าทางหน้าต่าง แล้วก็พบร่างที่นอนนิ่งและเย็นชืด อยู่หน้าห้องน้ำ

ผมไปถึงตอนที่ภรรยาเขาไปแจ้ง สน.ท้องที่แล้ว แต่ก็ใช้เวลาอีกนานเหมือนกัน กว่าจะมีตำรวจมาสอบรายละเอียดและบันทึกภาพ แล้วก็อีกสองนาน กว่าจะมีรถอาสาของมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง มาช่วยรับศพส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวชฯ

ระหว่างที่ แม่ และ เมีย กำลังโศกเศร้า และญาติๆ ที่ทยอยกันมา ดูเหมือนจะมีระยะความสัมพันธ์ห่างกว่าผม ผม – ซึ่งดูจะไม่ค่อยเศร้าเสียใจ และดูจะใกล้ชิดกว่า – จึงมีหน้าที่ให้ข้อมูล เจรจา ประสานงานต่างๆ ซึ่งสืบเนื่องมาเป็นสิ่งที่ต้องทำในวันศุกร์

ไม่ใช่แค่ “ดูจะไม่ค่อยเศร้าเสียใจ” แต่ผมรู้สึกจริงๆ ว่า ในกรณีนี้ การจากไปเป็นทุกข์น้อยกว่าการอยู่ต่อ เขาเป็นเบาหวานอยู่ก่อน และเห็นว่าการตรวจหัวใจก็ให้ผลไม่ค่อยดีนัก ประมาณสองเดือนก่อนหน้านี้ ก็พบมะเร็งในคอระยะลุกลาม เขาตัดสินใจไม่ผ่าตัด (ซึ่งในกรณีที่ได้ผลดี เขาอาจจะมีชีวิตต่อไปได้ประมาณสิบปี โดยที่ต้อง “ฝึกพูด” ใหม่) และลองบำบัดรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ

สองสัปดาห์มานี้ เขากินได้น้อยลงกว่าที่เคยน้อย และสาเหตุตามที่แพทย์สถาบันนิติเวชระบุว่า “ระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเฉียบพลัน” ก็ยุติวันเวลาในชีวิตของเขาลงสองวันก่อนครบ 55 ปีเต็ม

วันนี้ – 13 พฤศจิกายน เป็นวันครบรอบวันเกิดของเขา
#

6 ความคิดเห็น:

  1. ตอนนี้หนูรู้สึกว่าความตายก็ำไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่น่าใจหายเมื่อเกิดขึ้นกับคนรู้จัก และน่าเศร้าเมื่อเกิดกับคนที่เรารัก สงสัยจะ "ถึงวัย" แล้วล่ะค่ะ พี่ :)

    ตอบลบ
  2. ใช่ "ถึงวัย" ที่เรียนรู้โลก และรู้จักชีวิต มามากขึ้น ไม่ใช่แค่ "วัยถึง"

    ตอบลบ
  3. อ่านแล้วคิดถึงตอนแม่กะพ่อเลยค่ะ
    แปลกเหมือนกัน...ที่ หยี ไม่ฟูมฟายเลยในตอนนั้น-ตอนที่แม่กะพ่อไป
    แต่มาร้องไห้ทีหลัง...เวลาที่คิดถึง
    รู้ว่าแม่้กะพ่อไปสบาย เพราะอยากเห็นเขาเป็นสุขมากกว่าที่จะทุกข์หรือทรมานจา่กการป่วย เลยไม่ค่อยโศกเท่าไหร่้

    ที่สำคัญ...แม่ไปเช้าวันเกิด หยี ด้วยสิ (แง)

    ตอบลบ
  4. เวลาคนเราร้องไห้ ให้กับการลาจาก
    เราอาจจะร้องไห้ ให้ผู้ที่จากไป
    และ เราอาจจะร้องไห้ ให้กับตัวเอง
    ถ้าเขาจากไปด้วยเหตุ วิธี อันสงบ สมควร
    เราก็อาจจะร้องไห้ ด้วยความอาลัย น้อยลง
    (ถ้าเราไม่สงสารตัวเองจนเกินไป)

    ตอบลบ
  5. แปลกนะพี่
    ปกติ หยี ร้องไห้ง่ายมาก
    ดู Toy Story ยังร้องไห้เลยอะค่ะ
    เห็นเด็กร้องไห้...ก็ยังอยากร้องตามเลย
    แต่กรณีนี้ คงเป็นเพราะเราเห็นว่าเขาไปสบาย แล้วก็ใช้ชีัวิตมา คุ้มค่า ทีเดียว
    เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากมาย
    ยังเคยคิดและพูดกับเพื่อนเลยค่ะว่า เข้าใจแล้วว่าทำไม เฮมิงเวย์ ถึงได้ฆ่าตัวตาย (จากที่เคยอ่าน เขาบอกว่าเขาทำมาทุกอย่าง ไม่มีอะไรท้า่ทายอีกแล้ว) เราเองก็ทำมาหมดแล้วนี่นา...น่าจะตายได้แล้วเหมือนกัน
    แต่ก็ยังอยู่มาจนถึงวันนี้ และได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำ-และเพิ่งมีโอกาสได้ทำจริงๆ (อาทิ การไปปักกิ่ง/เมืองจีน ที่คนทั้งบ้านไปกันมาหมดแล้วไม่เว้นแม้แต่หลานคนเล็ก น้องสาวบอกว่าพ่อคงดีใจที่ หยี ไปเมืองจีนกะเขาจนได้ หลังจากแท่ดๆหัวหกก้นขวิดมาหลายเมือง หลายประเทศ แต่ไม่ยอมกลับบ้าน "พ่อ" เสียที)
    ไอ้เรื่องที่คิดว่าตายได้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะ ฆ่า ตัวเองนะคะ
    อยากตายเอง...แบบธรรมชาติมากกว่า :p

    ตอบลบ
  6. sentimental point หรือ reason (ที่แอบอยู่ลึกๆ)
    ของคนเราอาจต่างกันเป็นธรรมดา
    เช่น บางคนอาจจะไม่ค่อยมีน้ำตาให้กับความเศร้าโศก
    แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เสียใจ
    บางคนอาจไวต่อความปลื้มปิติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ "สะเทือนใจ" เขา
    ได้มากกว่าความทุกข์
    (ปล.ความเห็นหยี ไปซ่อนอยู่ในฐานะที่ต้องสงสัยเป็น spam อยู่หลายวัน
    ผมเพิ่งเจอ และพบวิธีเอาออกมา)

    ตอบลบ