วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Bite the Bullet

ในวันเวลาที่แฟนฟุตบอลหมดความอดทน
กับผลงานของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
ลองนึกทบทวนดู ความถดถอยและตกต่ำ ไม่ได้เพิ่งเริ่ม และไม่ได้มีแต่ฟุตบอล
ในบทความที่เขียนเมื่อสามปีก่อน-เรื่องนี้
เขียนถึงรถไฟไทย-ฟุตบอลไทย-สนามบินไทย
แน่นอนว่า... สิ่งที่ลงท้ายด้วย " ไทย"  ที่อยู่ในสภาวะเดียวกัน 
มันไม่ได้มีเพียงแค่นี้

Bullet Trainphoto © 2008 Daniel Foster | more info (via: Wylio)


ประตูรถชินกันเซ็นขบวนที่มุ่งหน้าสู่โอซาก้ากำลังปิดลงตอนที่ผมขึ้นไปถึงชานชาลา แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลและรอคอย เพราะอีกสี่นาทีรถขบวนต่อไปก็เข้ามาเทียบตามกำหนด
            ความตื่นใจกับประสบการณ์ของการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนย่อมไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก ความรู้สึกใหม่ที่มาแทนที่คือความทึ่งทึ่งกับความถี่ของตารางการเดินรถ และความรื่นรมย์รื่นรมย์กับความโปร่งสบายภายในตู้โดยสาร และทิวทัศน์สองข้างทาง
            ครั้งแรกที่ขึ้นชินกันเซ็นจากโตเกียวไปโอซาก้า นอกจากความเร็วที่ร่นเวลาลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ในยุคสมัยนั้น ผมจำได้แต่เพียงสองชั่วโมงเศษแห่งความเบียดเสียดอันชวนฉงนราวกับว่าระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรระหว่างสองเมืองใหญ่เป็นเส้นทางกิจวัตรของผู้คนเหล่านั้น คราวนี้ อาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่ต่างกัน อาจเป็นเพราะขบวนรถต่างคลาสส์ซึ่งแบ่งตามจำนวนสถานีที่จอด และอาจเป็นเพราะขบวนรถที่เพิ่มความถี่ขึ้นพอๆ กับการเดินทางด้วยบีทีเอสจากสถานีอารีไปสยาม เวลาประมาณสิบห้านาทีบนเส้นทางเกียวโต-โอซาก้า จึงเป็นการเดินทางด้วยความปลอดโปร่ง สะดวกสบายที่น่าจดจำ
            เช่นเดียวกับการพัฒนาประเทศเข้าสู่ยุคใหม่ในหลายๆ ด้าน ที่ญี่ปุ่นในยุคเมจิเริ่มต้นไล่ๆ กันกับประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 5 รถไฟญี่ปุ่นออกแล่นบนรางก่อนรถไฟไทยขบวนแรกเพียง 20 กว่าปี แต่หลังจากนั้น ในขณะที่เขาพัฒนาระบบการเดินทาง/ขนส่งทางรถไฟด้วยอัตราความเร็วแบบกระสุนปืน เรายังคงเคลื่อนไปในจังหวะถึงก็ช่าง-ไม่ถึงก็ช่าง
รถไฟก็เหมือนกับฟุตบอล ตรงที่เป็นสิ่งที่สะท้อนความก้าวหน้าและศักยภาพของการพัฒนาประเทศในหลาย บริบท โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศแถบเอเชียด้วยกัน
            สมัยผมเด็กๆ ฟุตบอลไทยอยู่แถวหน้าของทวีป ทีมชาติรุ่น นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์, สราวุธ ประทีปประกรชัย ดวลแข้งกับเกาหลี ญี่ปุ่น แม้แต่พวกแขกขาวตัวใหญ่ๆ จากตะวันออกกลาง ได้สนุกและได้ลุ้น คิงส์คัพเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับทวีป และแม้จะแพ้ย่อยยับกลับมาแต่ทีมฟุตบอลไทยสมัยนั้นก็เคยได้ไปแข่งในโอลิมปิก
            เวลาผ่านไป พอๆ กับที่ญี่ปุ่นเริ่มมีรถชินกันเซ็นใช้ ทีมฟุตบอลเกาหลี ญี่ปุ่น และชาติอาหรับ เป็นขาประจำของโอลิมปิกและฟุตบอลโลก คิงส์คัพเป็นรายการที่หลายประเทศยังส่งทีมมาแข่งด้วยความเกรงใจ แต่เป็นทีมสโมสรระดับรองๆ แต่เราต้องลุ้นกับทีมอย่างเวียดนาม สิงคโปร์ ในระดับซีเกมส์ และไทเกอร์คัพ
            โดยมีพม่าและอินโดนีเซียเป็นข้อปลอบใจ ว่าเราก็ไม่ไร้เพื่อนเสียทีเดียว
โอซาก้ามีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ ไม่เฉพาะในฐานะศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรม ไม่เฉพาะแต่จุดที่ขาดไม่ได้ในโปรแกรมท่องเที่ยว แต่รวมถึงขนบ-ความคิด-วัฒนธรรม ไม่ว่าจะเปรียบกับเกียวโตเมืองหลวงเก่าที่วางตัวสงบอยู่ใกล้ๆ และโตเกียวเมืองหลวงปัจจุบันที่อยู่ในระดับเดียวกันของขีดวัดความเจริญในระบบทุนยุคใหม่
            ที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งคือสนามบิน โดยเฉพาะเมื่อผมออกเดินทางไปจากสุวรรณภูมิ และเดินทางกลับจากสนามบินคันไซ ซึ่งเป็นสนามบินแห่งที่สองของโอซาก้าที่เปิดใช้มาได้สิบกว่าปี ปัจจุบันเมื่อพูดถึงสนามบินโอซาก้าในเส้นทางระหว่างประเทศก็หมายถึงสนามบินนี้ ส่วนสนามบินโอซาก้าเดิมที่ขยับขยายไม่ได้แล้วก็ยังคงใช้รองรับเที่ยวบินในประเทศแบบจำกัดเวลาขึ้น-ลงเพื่อไม่ให้มลภาวะทางเสียงรบกวนเวลาพักผ่อนหลับนอนของชาวเมือง แต่ไม่มีใครบอกว่าโอซาก้าต้องมีสนามบินเดียว ทั้งๆ ที่ในระยะไม่กี่สิบกิโลเมตรรอบโอซาก้ายังมีสนามบินอีกหลายแห่งอยู่รายรอบ
            เมื่อตอนที่โตเกียวสร้างสนามบินใหม่คือนาริตะ มีการประท้วงที่ยืดเยื้อและรุนแรงถึงขั้นที่อาจจะถือว่าเป็นที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แม้กระทั่งเมื่อเปิดใช้งานแล้ว ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและผู้ประท้วงก็ยังคุกรุ่นถึงขนาดที่ต้องรักษาความ ปลอดภัยอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี แผนขยายสนามบินโอซาก้า (รวมทั้งอีกหลายแห่งหลังจากนั้น) ก็มีการประท้วงเช่นกัน ทั้งยังมีคดีประวัติศาสตร์ซึ่งศาลสูงตัดสินให้รัฐบาลต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ชุมชนรอบสนามบินโอซาก้า อันเนื่องมาจากมลภาวะทางเสียงที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนเครื่องบินขึ้น-ลงที่มากขึ้นและขนาดเครื่องบินที่ใหญ่ขึ้น
            สถานที่สร้างสนามบินโอซาก้าใหม่จึงต้องมองไปที่อ่าวโอซาก้า แต่แทนที่จะถมทะเลเพื่อต่อเพิ่มแผ่นดินเดิมอย่างที่เคยทำกันมาบ้างแล้ว ผู้สร้างเลือกที่จะตัดปัญหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับผู้คนและชุมชนในระยะยาว ด้วยการสร้างเกาะขึ้นมาเป็นสนามบิน เชื่อมต่อกับฝั่งด้วยสะพานยาว 3 กม. ที่ออกแบบให้เดินทางได้ทั้งรถยนต์และรถไฟ แล้วกำหนดรันเวย์เป็นแนวขนานกับแผ่นดินเพื่อตัดปัญหาเรื่องเสียง ผู้ที่ทำประมงในอ่าวเป็นกลุ่มเดียวที่ประท้วงแต่ก็พอใจกับค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ทดแทนที่ได้รับ
            ในแง่เทคโนโลยีทางวิศวกรรมของช่วงกลางทศวรรษ 1980 อาจไม่มีอะไรท้าทายกว่าการสร้างเกาะยาว 4 กม. กว้าง 1 กม. สูงจากพื้นทะเลขึ้นมา 30 เมตร เพื่อใช้เป็นสนามบินอีกแล้ว มีผู้คำนวณความเป็นไปได้ว่าตัวเกาะจะค่อยๆ ทรุดลงไปด้วยหินและคอนกรีตจำนวนมหาศาลที่ทับถมน้ำหนักกันลงไป และเชื่อกันด้วยว่านี่คือโครงการแห่งความหายนะทางวิศวกรรมโครงสร้างของโลกในศตวรรษที่ 20
การคำนวณเป็นจริง จนถึงปัจจุบัน สนามบินคันไซมูลค่าราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์จมลงไปแล้ว 8 เมตร แต่(ผมเข้าใจว่า)เป็นการทรุดลงในระนาบเดียวกันของทั้งเกาะ โดยไม่สร้างปัญหาแก่รันเวย์ อาคารผู้โดยสาร และสรรพสิ่งที่ปลูกสร้างบนนั้น
            ระยะแรกที่เปิดใช้ อัตราการทรุดตัวเฉลี่ยปีละครึ่งเมตรชวนให้คิดถึงความหายนะ แต่ในระยะหลังค่าการทรุดลดลงเหลือเฉลี่ยปีละ 7 ซม. เมื่อบวกกับความมั่นใจว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เสริมแก้ปัญหานี้ได้ สนามบินคันไซก็ลงมือสร้างรันเวย์ที่ 2 ซึ่งพร้อมจะเปิดใช้ในปีนี้ (2550)
            จากโครงการที่เสี่ยงต่อความหายนะ เวลานี้สนามบินคันไซกลายเป็นความภาคภูมิใจของคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะชาวโอซาก้า เมื่อปี 2001 สมาคมวิศวกรโยธาแห่งสหรัฐ ยกให้เป็นหนึ่งในสิบสิ่งก่อสร้างแห่งสหัสวรรษ ทั้งยังคุยกันด้วยว่าเป็นสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์แห่งที่สองที่มองเห็นได้จากอวกาศ (ถัดจากกำแพงเมืองจีน) แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่สำคัญและน่าภูมิใจเท่ากับการที่สนามบินของเขายืนหยัดผ่านภัยธรรมชาติครั้งใหญ่มาแล้วอย่างน้อยสองครั้ง
            ครั้งแรกตอนต้นปี 1995 หลังเปิดสนามบินได้ไม่กี่เดือน เกิดแผ่นดินไหวระดับ 6.9-7.3 ริกเตอร์ ในโกเบ เป็นแผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 6,000 คน ประเมินความสูญเสียออกมามูลค่านับ 10 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 2.5% ของ GDP ปีนั้น ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากสนามบินคันไซไปเพียง 20 กม. แต่สนามบินและเกาะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ว่ากันว่ากระจกร้าวสักแผ่นยังไม่มี ต่อมาในปี 1998 ก็ได้เผชิญกับไต้ฝุ่นความเร็ว 200 กม./ชม. อย่างไม่สะท้านสะเทือน
            สำหรับคนที่เดินทางออกนอกประเทศไปจากสนามบินที่โหมประโคมกันว่าเป็นความภูมิใจของคนทั้งชาติ แต่มากด้วยปัญหาตั้งแต่เริ่มเปิดใช้ ตั้งแต่ระบบลำเลียงกระเป๋า ระบบเช็คอิน ไปจนถึงรอยร้าวและน้ำขังบนรันเวย์ แท็กซี่เวย์ หลังคาอาคารผู้โดยสารรั่ว การออกแบบที่มุ่งเอื้อต่อการขายสินค้าปลอดภาษีมากกว่าอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง ฯลฯ โดยไม่ต้องพาดพิงไปถึงการทุจริตรายทางตลอดเวลาหลายสิบปี เมื่อได้ไปรู้ได้ไปเห็น ก็ทำได้เพียงทึ่งกับของเขา และปลงกับของเรา
รถไฟหัวกระสุนและการสร้างเกาะทำสนามบินไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกยุคนี้ ประเทศร่ำรวยอย่างดูไบสามารถเนรมิตเกาะใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้ด้วยเงินตัวเดียว จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีไม่กี่ปีก็มีรถไฟความเร็วสูงของตัวเองใช้
            แต่เทคโนโลยีและความมั่งคั่งไม่ใช่เหตุผลหรือคำตอบสำหรับสิ่งที่ญี่ปุ่นมี หรือสิ่งที่ประเทศไทยเป็น
            ในความก้าวหน้า/ล้าหลังของฟุตบอลไทยอาจมีคำตอบที่อธิบายได้ดีกว่า เราได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่บ้าบอลอันดับต้นๆ ของโลก เรามีฟุตบอลลีกชั้นนำจากทุกประเทศถ่ายทอดสดให้ดูกันไม่ว่างเว้น เรามีหนังสือพิมพ์ฟุตบอลรายวัน(อาจจะ)มากหัวที่สุด แต่ดูเหมือนว่าเหตุและผลของสิ่งเหล่านั้นจะยึดโยงอยู่กับกระแสและการพนัน ไม่ใช่ตำแหน่งแห่งที่ของทีมฟุตบอลไทยในระดับนานาชาติ ซึ่งถดถอยกลับไปกว่าสี่สิบปีเช่นเดียวกับรถไฟไทย ทั้งที่เรามีนักฟุตบอลความสามารถสูงพอให้สโมสรของประเทศอื่นซื้อตัวไปร่วมทีม
            ในอีกด้านหนึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากการมีสนามบินใหม่ที่มีหอบังคับการสูงที่สุดในโลก มีอาคารผู้โดยสารใหญ่เป็นที่สองของโลก มีจำนวนเครื่องซีทีเอ็กซ์ที่ซื้อเผื่อไว้สำหรับอนาคต แต่มีห้องน้ำไม่พอตั้งแต่ปัจจุบัน ผู้โดยสารต้องคอยเดินเลี่ยงหลบร้านค้า ยังต้องต่อชัทเทิลบัสจากประตูทางออกไปขึ้นเครื่อง และไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะมีระบบขนส่งมวลชนเชื่อมต่อเมือง-สนามบิน
            แต่เราก็ทานทนอยู่กับคำตอบนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
#
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร สีสัน ปีที่  18 ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2550)

หมายเหตุ: ปัจจุบันเรามีแอร์พอร์ทลิงก์แล้ว แต่เท่าที่ฟังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ผมไม่แน่ใจว่ามัน "น่าอาย" กว่าตอนที่ยังไม่มีหรือเปล่า

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มากเกินไป–น้อยเกินไป

ในวันที่หนังสือแปลท่วมท้น 
วันที่ดูเหมือนนักแปลจะเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษมากยิ่งกว่าคนรุ่นเก่า
และวันที่หนังสือถูกผลิตอย่างเป็นระบบ
มีทั้งบรรณาธิการเล่ม และบรรณาธิการสำนักพิมพ์
แต่ทำไม หนังสือแปลเล่มด่วนที่ให้รสฝาดเฝื่อนฝืดคอ
จึงมีจำนวนมากกว่าเล่มที่ให้ความรื่นรส
มากขึ้นและมากขึ้น


SFMoMA (final set) - Chairs, Typewriters & Twist
photo © 2010 Michael Wade | more info (via: Wylio)


ตัดไม้ทั้งป่ามาทำเก้าอี้ตัวเดียวคงเป็นประโยคแสลงหูนักอนุรักษ์ และตกสมัยในยุคของการรีดเอาอรรถประโยชน์สูงสุดจากทุกสิ่ง
            แต่นั่นคือคำคารวะของวงวรรณกรรมไทยต่องานชั้นครู ของประมูล อุณหธูป หรือครูมูลของคนรุ่นศิษย์ที่ใกล้ชิด รวมตลอดจนถึงคนที่ได้ชิดเชื้อกับรุ่นศิษย์เหล่านั้นอีกต่อ
            ในนาม อุษณา เพลิงธรรม ครูมูลได้เสกสรรค์ เรื่องของจัน ดาราอันลือเลื่อง กระทั่งเมื่อผู้อ่านนิตยสาร ชาวกรุงเพรียกหางานใต้นามปากกานั้นอีก ได้นิยามด้วยคำว่า เรื่องที่อ่านแล้วท้องได้ของ อุษณา เพลิงธรรม”           
            กับงานบรรณาธิการเรื่องสั้นโดยเฉพาะในยุคทองของ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์อันเข้มงวดและพิถีพิถัน ครูมูลช่วยขัดเงาเกลากลึงงานของนักเขียนรุ่นใหม่คนแล้วคนเล่า สุรชัย จันทิมาธรในวันก่อนที่จะมาเป็นหงา คาราวาน ไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จกับการเขียนเรื่องสั้น จนกว่างานของเขาจะผ่านครูมูลได้ตีพิมพ์ และความภูมิใจสูงสุดในชีวิตการเขียนของเขาอาจยังไม่มีครั้งไหนเกินไปกว่าครั้งแรกที่เรื่องสั้นของเขาปรากฏในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์’––ไม่ใช่เรื่องเดียว แต่สองเรื่องพร้อมกัน
            และในนามจริงประมูล อุณหธูป กับบทบาทของนักแปลที่ไม่มีคนที่สอง อาจินต์ ปัญจพรรค์เคยกล่าวถึงไว้ว่า แต่ละบรรทัดของแกนี่ใช้เวลา ไม่ใช่เอาแต่ทิ่มพรวดๆ... คิดแล้วคิดอีกกว่าจะใช้คำอะไรสักคำ ถ้าเราดูในโลกียชนนะ เป็นตามที่ผู้ประพันธ์ต้องการซึ่งลูกสาวของครู-ศิเรมอร อุณหธูป ได้ขยายความบุคลิกการแปลของพ่อว่าประณีตทุกตัวอักษร ปรานีปราศรัยกับภาษาถึงขั้นละเอียดลอออย่างแท้ จริง
            ‘โลกียชนที่ครูมูลแปลจาก ‘Tortilla Flat’ ของจอห์น สไตน์เบ็ค เป็นงานที่ได้รับการอ้างอิงเสมอเมื่อพูดกันถึงงานแปลที่เข้าถึงภาษาเดิมอย่างลึกซึ้ง และถ่ายทอดออกมาด้วยความเข้าถึงภาษาไทยในลักษณะเดียวกัน ภูมิประเทศของเมืองมอนเทอเรย์ที่เป็นฉากหลังของเรื่องราวทั้งหมดเมื่อผ่านถ้อยคำของครูมูล อาจแทนภาพได้นับพันตอนเหนือขึ้นไปบนภูเขาอันเป็นบริเวณที่ป่ากับเมืองปนเปกันอยู่ ถนนหนทางยังไม่ประสีประสาต่อยางมะตอย และตามซอกตามมุมก็ยังเป็นเสรีจากแสงไฟถนนอยู่
            เมื่อแนะนำแดนนี่-ตัวละครเอก เพียงอ่านพบถ้อยคำเรียบสั้น (แต่เท่) ในประโยคเขาเกี่ยวพันเป็นสังคญาติกับชาวที่ราบนั้นแทบจะทั่วทุกคนก็ว่าได้ ไม่โดยเชื้อสายก็ในฉันชู้สาวคนเคยแปลหรืออยากแปลหนังสือทั้งหลายอาจได้แต่อึ้ง ตะลึงใจ เช่นเดียวกับครั้งที่ครูมูลถอดชื่อหนังสือที่เขียนขึ้นจากหนังคาวบอยเรื่อง ‘For A Few Dollars More’ ออกมาเป็นเก็บเบี้ยในรังโจร
อาจินต์ ปัญจพรรค์ยังพูดถึงความละเมียดในการทำงานของครูมูลว่า ไม่มากเกินไป (แต่) คนทำงานอย่างแกมีน้อยเกินไปแม้กระทั่งในยุคที่ธุรกิจหนังสือให้ผลงอกงาม วันที่หนังสือแปลเบียดกันอยู่เต็มร้านจนเลือกอ่านไม่หวาดไหว นักแปลที่ได้สักครึ่งของครูมูลก็ยังมีน้อยเกินไป และน้อยลงกว่าเดิมโดยสัดส่วน
            ว่าที่นักแปลคนหนึ่งพยายามเดินตามความสนใจที่ตัวเองมีต่อการแปลงานวรรณกรรม เขาเคยถามเคล็ดวิธีในการแปลจากนักแปลและบรรณาธิการหลายคน และมาติดใจในประเด็นการรักษาน้ำเสียงของผู้เล่าเรื่อง ซึ่งก็คงสอดคล้องกับที่ครูมูลเคยกล่าวว่าการแปลที่ดีที่น่านับถือคือสามารถแปลได้ออกรสดีตามครรลองของต้นเรื่อง ซึ่งก็คือจะต้องรักษาสำบัดสำนวนของเขาเอาไว้ให้ถูกต้องตรงกัน อย่างน้อยก็ควรรักษาเอาไว้ให้มากที่สุด
            เขาเริ่มต้นได้ไม่เลวนักกับเรื่องสั้นๆ ลองมือ แต่ก็ยอมรับว่าในความยากและความงงงวยเหมือนมีเสียงตะโกนบอกว่า นี่เพิ่งตีนดอย... ไอ้น้องเอ๋ยอุปมาว่าผมจะขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพคนเคยแปลจึงบอกกับเขาโดยอุปไมยให้ก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นไปให้ได้ท่า เพราะว่าการวิ่งตะบึงขึ้นไปโดยยังไม่คุ้นระยะขั้นและความชันของบันได กำลังขาอาจไม่เป็นใจพาให้พลาดพลิกขาแพลงได้สิ่งที่สำคัญและต้องมุ่งให้ได้ก่อนเข้าไปถึงน้ำเสียงสำนวนผู้เขียน ก็คือการแปลความที่ถูกต้อง และตีความหมายที่ซับซ้อนให้แตก
            ยี่สิบกว่าปีมาแล้วที่ครูมูลเอ่ยเตือนไว้ว่าอย่าเที่ยวได้ผันแปรของเขาไปดะแบบทำ ฟาสท์ ฟูดชนิดสุกเอาเผากินเป็นอาชีพนักแปลหลายคนและบรรณาธิการสำนักพิมพ์หลายแห่งอาจไม่เคยได้อ่านไม่ได้ยิน หนังสือแปลเล่มด่วนที่ให้รสฝาดเฝื่อนฝืดคอจึงมีจำนวนมากกว่าเล่มที่ให้ความรื่นรส มากขึ้นและมากขึ้น แม้ในหนังสือที่เราไม่ได้คาดหวังรสเลิศทางวรรณศิลป์
            อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก หาก แบล็คเบอรีจะถูกตีความเสมือนหนึ่งผลิตภัณฑ์พันธุ์เดียวกับ เบอร์เบอร์รีเมื่อแรกปรากฏในนิยายกลุ่มชิค-ลิตเรื่องหนึ่ง แต่การใช้งานสิ่งนั้นในตอนต่อมา ก็น่าจะพอทำให้(ผู้แปล)เฉลียวใจได้(พอๆ กับผู้อ่าน)ว่านี่คืออุปกรณ์สื่อสารไร้สายชนิดแรกที่รับ-ส่งอีเมล์ได้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในอเมริกา กรณีที่แย่กว่านั้นคือ การถ่ายชื่อ ‘Subway’ ออกมาตรงๆ ในความหมาย รถไฟใต้ดินทั้งที่เป็นคำเฉพาะที่ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่และเนื้อหาในช่วงนั้นกำลังอธิบายถึง วิธีการติดป้ายโฆษณา/แนะนำสินค้าในร้านอาหารจานด่วน รวมทั้งการพิมพ์ข้อความบรรยายสรรพคุณอาหารบนแผ่นรองถาดและกระดาษเช็ดปาก ไม่พักต้องพูดถึงสาขาหลายแห่งของร้านแซนด์วิชชื่อเดียวกันนี้ที่มาเปิดอยู่ ริมถนนสุขุมวิท
            คนอ่านควรทำอย่างไร เมื่อในหนังสือทางการตลาดและโฆษณา เขียนลอยๆ ขึ้นมาถึงนักร้องโอเปร่า ร้องเพลงชื่อ Lucky Strike ’ แต่เรากลับนึกถึงหนังโฆษณาชวนสูบบุหรี่ยี่ห้อนั้นมากกว่าจะพึงเป็น ชื่อเพลงที่ร้อง อีกเล่มหนึ่งยกวิธีที่ร้านสะดวกซื้อใช้ไล่เด็กวัยรุ่นไม่ให้มาเตร็ดเตร่แถวร้านตอนกลางคืนอย่างได้ผลและประหยัด โดยการ เปิดเสียงแหลมแผ่วๆ ที่ฟังแล้วชวนขนลุกของตัวแมนโทวานีผ่านลำโพงแต่ทำให้เราสงสัยว่าเสียงนั้นจะไม่ไล่ลูกค้าทุกเพศทุกวัยไปด้วยหรือ ตัวแมนโทวานีจะมีหน้าตาอย่างไรหนอ แล้วเราก็หายสงสัยในประโยคต่อๆ มาว่าพวกเขา(แก๊งวัยรุ่น)จะรีบหนีไปให้ไกลจากเพลงอีซี่ลิสซึนนิ่งราวกับว่ามันเป็นโรคแอนแทร็กซ์และพลันนึกถึงแมนโทวานีผู้เป็นนายวงดนตรีแนวไลท์ออร์เคสตรา ส่วนอีกเล่มให้ความรู้ใหม่ว่าเจ้าหญิงไดอะน่าทรงทุ่มเทพระวรกายให้กับสาธารณกุศลเช่นการขจัดการลักลอบวางระเบิดแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพระองค์ทรงทำเรื่องนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ก่อนหรือหลังการรณรงค์กำจัดกับระเบิดตกค้าง
            ความสงสัยในเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ นำไปสู่ความคลางแคลงใจที่ใหญ่กว่า ว่าเราจะวางใจในความถูกต้องของส่วนที่ซับซ้อน เข้าใจได้ยากกว่า ได้แค่ไหนในหนังสือแปลเล่มที่เรากำลังอ่าน นักแปลและบรรณาธิการสาวคนหนึ่งบอกว่า สิ่งที่เธอทำคือ วางเลย เลิกอ่านและบางกรณีเธอก็อาจจะโทรไปต่อว่าเพื่อนร่วมอาชีพที่ผลิตหนังสือเล่มนั้นว่าปล่อยออกมาได้ยังไง           
            ในยุคที่หนังสือแปลเป็นธุรกิจสมบูรณ์แบบ เงื่อนไขที่ต้องรีบแปล รีบพิมพ์ เพื่อให้ทันกับกระแส และรักษาอายุลิขสิทธิ์ที่ได้มาให้อยู่ในตลาดนานที่สุด เป็นที่เข้าใจได้ แต่นักแปลหน้าใหม่ซึ่งเป็นช่องทางจำเป็นในการผลิตงานก็ไม่ใช่ข้ออ้าง ภาวะตลาดที่เปิดให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ย่อมหมายถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้นของบรรณาธิการเล่ม และ/หรือบรรณาธิการสำนักพิมพ์ด้วย
            คนเคยแปลจึงบอกกับคนอยากแปลว่า ถ้านักแปลถ่ายทอดได้ติดๆ ขัดๆ บก.ต้องช่วยทำให้มันราบรื่น ถ้านักแปลตีความผิด บก.ต้องทำให้มันถูก ถ้านักแปลรู้ไม่รอบไม่ทันกระแสโลกที่หมุนเร็วเหลือเกิน บก.ก็ต้องรู้ หรือหาคนมารู้แทนให้ได้แต่ในภาวะที่อาจจะพึ่งพาบรรณาธิการไม่ได้มากนัก นักแปลคงต้องกลับไปสู่พื้นฐานแรกสุด คือเริ่มจากแนวที่ชอบ เรื่องที่สนใจความสนใจเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผมถือว่า มันนำไปสู่การเติมความรู้ สร้างความหลงใหล ใฝ่ชอบ และส่งเสริมความเพียร
            แม้แต่ครูมูล เมื่อถามถึงปัญหาในการแปล ครูบอกว่าดูเหมือนจะมีอยู่ประการเดียวเท่าที่นึกออกในตอนนี้ นั่นก็คือศัพท์เฉพาะในวงการต่างๆ... เจอเข้าหน้ามืดทีไรก็เป็นต้องพล่านไปทั้งเมืองเพื่อหาความรู้
หากนักแปลชั้นครูทั้งหลายได้ตัดไม้ทั้งป่า เพื่อคัดเอาแต่ส่วนที่เหมาะงามมาทำเก้าอี้ตัวหนึ่ง หนังสือแปลแต่ละเล่มก็อาจเปรียบได้กับเก้าอี้ต่างแบบ ต่างวัตถุประสงค์การใช้สอย
            เมื่อเราอ่านหนังสือเชิงความรู้-ธุรกิจ เราคงต้องการเก้าอี้ที่ออกแบบถูกตามหลักสรีรศาสตร์และความคล่องตัวในแต่ละอิริยาบถของเก้าอี้ทำงาน เมื่อเราอ่านวรรณกรรมชิ้นเอก เราคงคาดหวังในเก้าอี้ ไม้เนื้อดี หุ้มบุด้วยวัสดุคัดสรร ผ่านการสลักเสลาเกลากลึงอย่างประณีตหมดจด เมื่อเราอ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเริงรมย์แห่งสมัย เราอาจต้องการเก้าอี้นวมนุ่มเอน สบาย
            แต่ถ้าเลือกไม่ได้มากนัก เราอาจขอแค่เก้าอี้ที่นั่งแล้วไม่ปวดหลังไม่เจ็บก้น ก็ยังดี
#
Rhymes to learn
·       เท่าที่ทราบ ข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ ครูมูลมีอยู่ในประวัตินักเขียนไทย เล่ม 1’ ซึ่งกรมศิลปากรจัดพิมพ์เมื่อพ.ศ. 2520 บางส่วนที่นำมาใช้อ้างอิงในคอลัมน์นี้ เป็นงานที่ คำรพ นวชน เรียบเรียงไว้ในนิตยสาร ถนนหนังสือ’ (ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 กันยายน 2528)
·       โลกียชนเป็นหนังสือ ต้องอ่านทั้งในฐานะงานเขียนคลาสสิกของจอห์น สไตน์เบ็ค และในฐานะงานแปลขึ้นหึ้งของประมูล อุณหธูป ไม่แน่ใจว่าหลังการพิมพ์ซ้ำเมื่อนานมากมาแล้ว (สมัยที่ยังมีนิตยสารชื่อลลนา’) โดยสำนักพิมพ์ ดวงตา ต่อมามีการพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์มติชน
#
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร IMAGE ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549)